Showing posts with label ทุพพลภาพถาวร. Show all posts
Showing posts with label ทุพพลภาพถาวร. Show all posts

49 : ประกันสังคมมาเยี่ยมที่บ้าน

สวัสดีครับทุกคน ผมเป็นผู้ทุพพลภาพมาแล้ว 5 ปีกว่า เกือบจะ 6 ปี มีเรื่องหนึ่งที่ผมลืมเล่าให้ทุกคนฟังว่า จะมีเจ้าหน้าที่ประกันสังคมมาเยี่ยมผมทุกปี และการเยี่ยมแต่ละครั้ง ก็จะมีของฝากทุกปี

ปีนี้ ในวันที่ 8/8/2550 ก่อนเที่ยง คุณสุภารัตน์ นาทธราดล นักวิชาการประกันสังคม จังหวัดนนทบุรี หน้าตายิ้มแย้ม ได้มาเยี่ยม เพื่อสอบถามสุขภาพ และความเป็นอยู่

ได้นำพัดลม และผ้าขนหนู มาเยี่ยม รวมถึงสอบถามว่ารักษาสิทธิ์ด้วยการไปรับเงินที่ประกันสังคม หรือไม่ เพราะผมมีสิทธิ์ได้เงินรายเดือน เดือนละ 7,500 บาท รวมถึงสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาล 2,000 บาท ซึ่งผมก็แจ้งว่าได้ทุกเดือนครับ

ก่อนกลับ ผมยังได้ขอเบอร์โทรเอาไว้ เป็นเบอร์ที่ประกันสังคม จังหวัดนนทบุรี 02-5505104-7 เพราะทราบอยู่แล้วว่า จำเป็นต้องโทรไปสอบถามคุณสุภารัตน์เกี่ยวกับเรื่องสิทธิ์ ของผู้ทุพพลภาพอยู่แล้ว

เนื่องจากผมยังไม่มั่นใจว่า

ผู้ทุพพลภาพอย่างผมที่ได้สิทธิ์นั้น จะหมดสิทธิ์หรื่อไม่ ถ้าเริ่มมีรายได้ ทั้งแบบเงินเดือน หรือแบบมีรายได้เป็นครั้งคราว หรือในกรณีเปิดบริษัทเอง แต่ในความรู้สึกของผมคือ ผมเป็นผู้ทุพพลภาพอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ผมได้สมทบเงินประกันตลอดก่อนรถคว่ำ ดังนั้นสิทธิ์ของความเป็นผู้ทุพพลภาพน่าจะยังคงอยู่

เร็วๆ นี้ ผมคงต้องติดต่อเรื่องนี้แน่นอน เพราะงานที่เตรียมการไว้เริ่มเป็นเรื่องเป็นราวแล้วครับ ข้อมูลในส่วนนี้ผมถือว่าสำคัญ เพราะเป็นสิทธิ์ของผู้ประกันตน ถ้าได้เรื่องอย่างไร จะรีบเขียนบทความให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ


ขอบคุณครับ

ปรีดา
ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225, 089-3263248
Tel. & Fax.: 02-9232724
email :
preeda.limnontakul@gmail.com
email : preeda@gpaymentservice.com
website : http://www.gpaymentservice.com/
update : Sep 6, 2007

47 : ถึงคราวต้องเสียฟัน

สวัสดีครับ ทุกคน วันนี้จะขอเขียนถึงเรื่องย้อนหลังไปสัก 2 เดือน คือการ " ถอนฟัน "

ความตั้งใจครั้งแรกไม่ต้องการจะไป " ถอนฟัน " หรอกครับ แต่ต้องการไปอุดฟัน หรือรักษารากฟัน แต่คุณหมอแนะนำว่า เนื้อฟันเหลือน้อย รักษารากฟันไป ตัวฟันก็ไม่แข็งแรง ดังนั้นจึง " ควรถอนฟัน " ซี่นี้ออกไปดีกว่า ผมก็ตามคุณหมอครับ

หลังจากถอนฟันเสร็จ ก็ต้องกัดผ้าก๊อชตามระเบียบ เพื่อให้แผลสมาน เลือดหยุดไหล ไปรับยา-เสียเงิน และกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านก็หยิบยามาดู เห็นกระดาษแนะนำผู้ป่วยหลังถอนฟัน จึงนำมาพิมพ์ฝากทุกคนครับ

...................................................................

ข้อปฏิบัติภายหลังการถอนฟัน/ การผ่าตัดฟัน

  1. กัดผ้าก๊อชให้แน่น ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วคายผ้าทิ้ง ไม่ควรบ้วนน้ำ เพื่อจะล้างกลิ่นคาวเลือด ให้รับประทานยาแก้ปวดหลังคายผ้าทิ้ง 1-2 เม็ดตามที่สั่ง
  2. ห้ามอมน้ำแข็ง ควรใช้น้ำแข็งประคบด้านนอกช่องปากตรงกับบริเวณที่ผ่าตัดครั้งละ 30 นาที หลายๆ ครั้งใน 24 ชั่วโมงแรก การประคบน้ำแข็งจะลดอาการบวม
  3. ห้ามบ้วนน้ำ หรือน้ำยาบ้วนปากทุกประเภท ในวันแรก ควรแปรงฟันให้สะอาดทั่วทั้งปาก ยกเว้น บริเวณถอนฟันหรือผ่าตัด
  4. รับประทานยาตามที่ทันตแพทย์สั่งให้ถูกต้อง ทั้งขนาดและจำนวนครั้งต่อวัน ถ้ามีอาการแพ้ยา (มีผื่น หายใจลำบาก) หรืออาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น อาเจียน ให้หยุดยา แล้วนำยากลับมาพบทันตแพทย์โดยเร็ว
  5. ในกรณีที่มีอาการปวด ให้รับยาแก้ปวดตามขนาด และระยะเวลาที่ระบุไว้ ถ้าอาการปวดไม่หายจากการรับยาครั้งแรก สามารถรับยาเพิ่มได้ ควรให้ห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง
  6. กรณีที่ได้รับ ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) ควรรับยานั้นให้ครบ ทั้งขนาดและปริมาณ ไม่หยุดยาเอง หรือเปลี่ยนวิธีการกินยา
  7. ห้าม สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ของมึนเมา หรือรับประทานอาหารที่เผ็ดจัด หรือร้อนจัด
  8. ห้ามใช้นิ้วมือ ไม้จิ้มฟัน แคะบริเวณแผล และห้ามดูดแผลเล่น
  9. ถ้ามีอาการปวด บวม หรือรู้สึกผิดปกติ ที่แผลถอนฟัน ควรกลับมาให้ทันตแพทย์ตรวจดูใหม่
  10. ถ้ามีการเย็บแผล ให้กลับมาตัดไหม ภายหลังการถอนฟันหรือผ่าตัดแล้ว ประมาณ 7 วัน


แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลพญาไท 1
ชั้น 4 อาคาร 2
โทร. 02-640-1111 ต่อ 3415-21
Hot Line 1772
http://www.phyathai.com/

.......................................................................

ข้อมูลก็คงทราบกันอยู่แล้วทุกคน แต่ผมคิดว่าเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยทุพพลภาพ เพราะเป็นโรคที่ผู้ป่วยต้องมีความเสี่ยง ที่จะเป็นมากขึ้น จึงอยากรวบรวมไว้ในบล๊อกนี้ด้วยครับ

ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225, 089-3263248
Tel. & Fax.: 02-9232724
email : preeda.limnontakul@gmail.com
email : preeda@gpaymentservice.com
website : http://www.gpaymentservice.com/
update : July 15, 2007

46 : "เตียงทำงาน" ของผู้ทุพพลภาพ

สวัสดีครับ ทุกคน บทความในตอนนี้ ผมขอเขียนถึง "โต๊ะทำงาน" แต่สำหรับผมอาจเรียกเป็น "เตียงทำงาน" ก็ได้คงไม่ต่างกัน ขอเริ่มเป็นข้อๆ เหมือนเดิมครับ


1. โดยปกติผมใช้ชีวิตประจำวันเกือบทั้งหมดบนเตียง ยกเว้นว่าจะต้องๆปหาหมอ หรือสัมมนา ผมเป็นทุพพลภาพมาแล้ว เกือบ 6 ปี จึงมีอาการขาเกร็งบ่อยๆ ไปๆ มาๆ จึงต้องนำไม้กระดานมาขัดขาไม่ให้เกร็ง แล้วงอขึ้นมากระแทกไม้กระดานด้านบนสุดที่นำมาทำเป็นโต๊ะทำงาน ประโยชน์อีกทางหนึ่งคือ สามรถวางคีย์บอร์ด หรือมือถือ รีโมทแอร์ได้ด้วย คล้ายลิ้นชักไปในตัว




ภาพแรกนำไม้กระดานสอดวางบนราวสแตนเลสช่องกลาง
แล้วเอากล่องทิชชู่ดันเอาไว้ ไม่ให้ขยับ




ภาพสองเป็นด้านฝั่งตรงข้ามกับภาพแรก ใช้กล่องทิชชู่ดันไว้ไม่ให้เขยื้อน
ถ้าไม่แน่นเอานิตยสารที่ไม่ใช้แล้วมารอง
2. จากนั้นก็นำไม้กระดานขนาด 30 x 120 เซนติเมตรมาวางบนราวสแตนเลสชั้นบนสุด 2 แผ่นต่อกัน ก็ได้โต๊ะแล้ว หาซื้อไม้กระดานได้ที่ห้าง HomePro ใกล้บ้าน ที่ใช้ 2 แผ่นเพราะ เป็นมาตรฐานของเขา และง่ายที่คนดูแลจะยกขึ้นวาง รวมถึงการจัดเก็บ พอใช้ไปนานๆ ปรากฎว่าไม้กระดานชอบเลื่อน จนเกือบจะหล่นบ่อยๆ สาเหตุน่าจะมาจากการสั่นสะเทือนของมอเตอร์เตียงลม ผมจึงดัดแปลงต่อเพิ่มอีก 15 เซนติเมตร และนำไปวางในด้านที่ สไลด์จนหล่น เอาไม้ไปขัดไว้ใต้ไม้กระดาน ทำให้สไลด์มาติดราวสแตนเลสพอดี และผมก็ยังนำแผ่นพลาสติกใสมาวางบนไม้กระดานอีกที เพื่อป้องกันความสกปรกครับ



ภาพ 3 นำไม้กระดานที่มีหน้าที่เหมือนโต๊ะมาวางบนสแตนเลสแนวบนสุด
ก็ได้โต๊ะทำงานบนเตียง
3. จากนั้นก็นำคอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์ โทรศัพท์มือถือ ทีวีเล็ก ปลั๊กรางไฟ กระติกน้ำ รีโมทแอร์ อื่นๆ ที่ใช้ในการทำงานมาวางบนโต๊ะก็เริ่มทำงานได้เลย ในแต่ละวันครับ



จัดวางอุปกรณ์ - สิ่งของ - เครื่องมือที่จะใช้งานบนโต๊ะ
ส่วนคีย์บอร์ด ไว้บนไม้กระดานชั้นล่างได้พอดี

สำหรับในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่นำภาพการทำโต๊ะทำงานง่ายๆ สำหรับผู้ป่วยทุพพลภาพ ที่ต้องทำงานบนเตียง ซึ่งก็อาจเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วยได้ครับ

ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
email : preeda.limnontakul@gmail.com

update : July 15, 2007

45 : ข้อสังเกตุเรื่องหลังตรง ขาลีบช้า

สวัสดีครับ ตอนนี้ผมอยากจะเขียนให้เพื่อนๆ อ่านเกี่ยวกับเรื่อง " เวลานั่ง หลังของผมจะตรง " และ " ขาของผมลีบ ค่อนข้างช้า "
เกี่ยวกับ " หลังของผม " ตั้งแต่ผมรถคว่ำ จนเป็นผู้ทุพพลภาพ ในช่วงแรกผมไม่สามารถนั่งได้ และคุณหมอที่ทำการผ่าตัดผม ก็มั่นใจว่าผมต้องเป็นผู้ทุพพลภาพอยู่แล้ว จึงสามารถออกใบรับรองแพทย์ให้ได้ทันที แต่หลังจากที่ผมย้ายมารักษาตัวที่พญาไท 1 ผมจึงได้พอมีโอกาสได้นั่งบ้าง ไม่กี่ครั้งเพราะผมยังมีแผลกดทับขนาดใหญ่ที่ก้นกบอยู่ ซึ่งปรากฏว่า " แผ่นหลังของผมเวลานั่งแล้ว ตรงเป๊ะ " ตามรูปที่เห็นครับ ทั้งๆ ที่ระดับของการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง (spinal cord injury) ที่ตำแหน่ง C6-7 นั้น หลังของผมต้องอ่อน งอ ไม่ควรตรงแบบนี้
หรืออาจจะมีเหตุผลอื่นๆ ด้วยก็ได้ ประกอบกัน เช่น ถ้าคุณหมอที่พญาไท 1 จะมั่นใจว่าผมเป็นผู้ทุพพลภาพ จำเป็นต้องดูผลจาก MRI ก่อน จนผลออกมาแล้ว คุณหมอก็ออกใบรับรองแพทย์ให้ ดังนั้นตัวผมเองก็ครุ่นคิดมาตลอดเป็นระยะๆ ว่า ที่หลังของผมตรงเกิดจากอะไร เพราะตามหลักการของอาการป่วย ไม่ควรเป็นแบบนี้

ผมเริ่มนึกไล่ย้อนไปเรื่อยๆ เมื่อมีเวลาว่างที่จะนึกถึง ผมเคยปวดเอวจากการขับรถมาก ซึ่งก็ไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไหร่ แต่ก็ทิ้งประเด็นนี้ไม่ได้ เพราะอาจเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ผมนึกต่อ เวลาผมนั่งเหยียดขา เมื่อผมจะพยายามให้ตัวตรง หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจน คือนั่งเหยียดขากับพื้น แล้วเอาหลังพิงกำแพงให้ตั้งฉาก ปรากฏว่า " ผมจะปวดหลังมาก " และผม " ไม่สามารถโน้มตัว เอาปลายนิ้วมือ ไปแตะปลายนิ้วเท้าได้ " คือหลังของผมจะไม่โค้งงอ มันจะไปทั้งแผ่นหลัง ผมไม่รู้ว่าจะพอเรียกว่า " หลังแข็ง " ได้ไหม ไม่แน่ใจ แล้วนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหลังตรงใช่หรือไม่ ผมก็ไม่รู้อีกจนได้ เพราะปัจจุบันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าผมสั่งการกล้ามเนื้อได้อย่างแน่นอน เพราะผมไม่รู้สึกอะไร



ภาพขณะกำลังทำกายภาพ นั่งบนเตียง ห้อยขามาวางบนเก้าอี้ ฝึกการทรงตัวครับ

แล้วผมทำไมหลังถึงตรงแบบนี้ ผมยังคงพยายามนึกต่อ จนวันหนึ่งได้พูดคุยกับนักกายภาพ และผมก็แว๊บเข้ามาในหัวว่า ตอนเด็กๆ ผมฝังใจมากว่า มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกผมว่า " เด็กดี ต้องนั่งหลังตรง " ผมจึงนั่งหลังตรงมาตลอด เวลาเรียนผมจะไม่เอาหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกเว้นเวลาคลายเครียดหรือพักผ่อน จนกลายเป็นนิสัย ปฎิบัติตั้งแต่เด็กจนโต แม้แต่ก่อนรถคว่ำก็ตาม ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ผม "หลังแข็ง" จนทุกวันนี้ นี่ไม่ใช่บทสรุปนะครับ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานส่วนตัวเท่านั้น
ลองมาดูอีกเรื่องของผม คือ " ขาผมไม่ค่อยลีบเท่าไหร่ " หรืออาจจะมองได้ว่า " ลีบช้า " ก็ได้ แต่ผมก็มั่นใจว่ายังไงๆ ก็ต้องลีบ เพราะนั่ง - นอน อยู่แต่บนเตียง เพียงแต่ถ้ามองผิวเผินเหมือนไม่ลีบเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงต้องคิดต่อครับว่า " ทำไมดูไม่ลีบ หรือ ลีบช้า "

ผมคิดเองจากเหตุผลที่ว่า โดยปกติ ขาของผมจะมีอาการเกร็ง เป็นระยะๆ ทุกวัน ซึ่งนักกายภาพบำบัดเคยบอกว่า การมีอาการเกร็งนั้นดีกว่าไม่มี แต่มีมากก็ไม่ดี กรณีของผมมีอาการเกร็งที่ไม่สร้างปัญหาในการดำเนินชีวิต ผมคิดเอาเองนะครับว่า " อาการเกร็ง " น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ขาไม่ลีบ แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสคุยกับนักกายภาพฯ ก็พอจะเข้าใจว่าอาการเกร็งมีผลน้อย และการที่ผมทำกายภาพฯ เป็นประจำก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่จะมีน้ำหนักพอว่าทำให้ขาไม่ลีบ



ผมนำภาพถ่ายช่วงขาของผมมาให้ดูครับ ขายังไม่ลีบเท่าไหร่ทั้งๆ
ที่เป็นผู้ทุพพลภาพมา 5 ปี 8 เดือนแล้ว
การที่ขาไม่ลีบ หรือลีบช้า น่าจะเกิดจากการที่ว่า ผมมีปัญหาที่ " ไขสันหลัง " ไม่ใช่ที่ " เส้นประสาท " ถ้าเป็นที่เส้นประสาทเสียหาย หรือ ขาด น่าจะทำให้กล้ามเนื้อขาลีบเร็วกว่านี้ ดังนั้นแล้วการที่ขาของผมลีบช้า คงมีหลายเหตุผลมา support เช่น 1.บาดเจ็บที่ไขสันหลัง ไม่ใช่เส้นประสาท 2.ทำกายภาพฯ เป็นประจำ 3.มีอาการเกร็งเป็นประจำในระดับที่พอเหมาะ
บทความในตอนนี้ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานส่วนตัว ที่ไม่ได้มีการพิสูจน์อย่างถูกต้อง แต่ผมก็อยากจะเล่าสู่กันฟัง ให้ได้อ่าน เผื่อจะเป็นข้อคิดให้กับเพื่อนๆ ได้บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วย
ขอบคุณครับ


ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
email : preeda.limnontakul@gmail.com

update : July 15, 2007

44 : การประยุกต์ใช้งานเตียงลม

สวัสดีครับ ทุกคน ตอนนี้ผมขอเขียนถึง " การประยุกต์ใช้งานเตียงลม " และที่ผมต้องตั้งหัวข้อบทความนี้ก็เพราะว่า ผมประสบปัญหาว่าเตียงลมชำรุดเสียหายครับ ผมขออธิบายถึงปัญหาเลยนะครับ

1. ขณะที่อยู่โรงพยาบาลผมซื้อ เตียงลมเลย เพราะค่าเช่าเตียงลม 1 เดือนก็สามารถซื้อได้เลย เป็นของยี่ห้อ Alphabed ซึ่งมี " ลูกลม " เป็นลักษณะผ้าร่ม ข้างในคงมีวัสดุอะไรซักอย่างอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ลูกลมของยี่ห้อนี้ทนมากๆ ครับ ผมใช้จนเครื่องควบคุมเตียงลม ซึ่งมีมอเตอร์ปั๊มลมเล็กๆ ให้กับเตียงลมนั้น " พัง " คือมีเสียงแผ่วเบามาก ลมไม่ขึ้น จึงต้องซื้อใหม่ หลังจากใช้งานได้ 2 ปี สังเกตุได้ว่าเตียงลมยี่ห้อนี้พอดีกับความสูงของผม เพราะผมสูง 175 เซนติเมตร

2. จึงต้องซื้อใหม่ คราวนี้ " ลูกลม " หรือ " ลูกฟูก " ไม่ใช่ผ้าร่ม เป็นพลาสติกอย่างดี ตัวควบคุมดูจะมีมาตรฐานมากกว่า แต่มีปัญหาว่า ความสูงไม่พอกับความสูงของผม จึงนำผ้าห่มมาต่อช่วงขา ตั้งแต่หัวเข่าลงไป ใช้งานได้เพียง 2 ปีกว่าเท่านั้น ลูกฟูกทยอยพังไปทีละลูก สองลูก จนทำให้ก้นผมเป็นแผลกดทับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมประสบปัญหาด้านการเงิน จึงไม่สามารถซื้อใหม่ได้ อะไหล่ลูกฟูกก็แพง ผมจึงตัดสินใจ

3. นำเตียงลมทั้ง 2 ชุดมาผสมผสานกัน โดยนำชุดลูกฟูกที่เป็นผ้าร่มภายนอก พร้อมจุกยางเชื่อมต่อทางเข้าลูกฟูกกับท่อลม ของเตียงลมชุดแรกมาใช้ ส่วนชุด 2 ผมนำดครื่องควบคุมที่ดูมีมาตรฐาน และสายท่อลมมาใช้ ปรากฎว่า เป็นการผสมผสานที่ดีมาก ประสิทธิภาพดีเยี่ยม ใช้งานได้เหมือนของใหม่เลย ผมใช้จนถึงปัจจุบัน ยังไม่พังเลยครับ ลองดูรูปที่นำมาฝากนะครับ



ถ่ายจากหัวเตียงไปท้ายเตียง


จากรูป จะเห็นว่า ส่วนบริเวณหัว ยังคงมีลูกฟูกที่เป็นพลาสติกปะปนนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกฟูกผ้าร่ม ใช้ผ้าสีเขียวมาเย็บติดกับแผ่นรองลูกฟูก เพื่อบังคับไม่ให้ลูกฟูกขยับเขยื้อน โดยเฉพาะเวลานั่ง เพราะของเก่าเป็นการเชื่อมพลาสติก จึงหลุดง่าย



ภาพถ่ายจากท้ายเตียงไปหัวเตียง

จากภาพเห็นกันชัดๆ ครับว่าท้ายเตียง ตั้งแต่บริเวณหัวเข่าลงไปใช้ผ้าห่มครับ ชุดที่ 2 เตียงลมสั้นกว่าความสูงของผมประมาณ 30 เซนติเมตร ซึ่งก็ไม่เคยสร้างปัญหาเรื่องแผลกดทับช่วงขาเลย และผมยังมีหมอนเล็กๆ รองข้อเท้าอีกด้วยครับ

ผมก็หวังว่าบทความนี้ คงเกิดประโยชน์กับผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วยบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ


ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225, 089-3263248
Tel. & Fax.: 02-9232724
email : preeda.limnontakul@gmail.com
email : preeda@gpaymentservice.com
website : http://www.gpaymentservice.com/
update : July 14, 2007

43 : ควรรีบเดินเรื่องที่ประกันสังคม เรื่องเงินชดเชย และเงินรักษาพยาบาล


สวัสดีครับทุกคน ตอนที่ 43 แล้วครับ ผมขอนำประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินเรื่องเพื่อขอรับสิทธิ์ รับเงินชดเชยจากประกันสังคมครับ เผื่อว่าจะมีผู้อ่านบางท่าน มีเพื่อน หรือญาติที่อาจจะต้องดำเนินการคล้ายๆ ผม คือ

1. หลังจากที่ผมทราบแล้วว่า ผมต้องเป็น " ผู้ทุพพลภาพ - สิ้นเชิงถาวร " แล้ว คือมือเท้าใช้ไม่ได้ ซึ่งการที่จะเป็นผู้ทุพพลภาพได้นั้น จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ เพราะแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่า ผู้ป่วยเป็นผู้ทุพพลภาพทันทีเลยหรือไม่ หรือต้องดูผลอีกกี่เดือน กี่ปี

ในกรณีของผม คุณหมอที่โรงพยาบาลที่ผ่าตัดให้นั้น สามารถออกใบรับรองแพทย์ได้ทันทีเลย คุณหมอมั่นใจ ซึ่งถ้าจำไม่ผิดทางผมก็ดำเนินการ เดินเรื่องเลยนะครับ เพื่อจะขอรับสิทธิ์เรื่องเงินชดเชยรายเดือน ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้น ทางโรงพยาบาลเดินเรื่องให้อยู่แล้ว ซึ่งผมรถคว่ำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2544 แต่ผมได้รับเงินชดเชยประมาณเดือน สิงหาคม 2545 ห่างกันถึง 9 เดือน

พอจะวิเคราะห์ได้ว่า เกือบ 4 เดือนที่ผมได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทฯ ให้ยังคงสภาวพการเป็นพนักงานของ Berli Jucker อยู่ และพอผมย้ายโรงพยาบาลมาตอนเดือนกุมภาพันธ์ คุณหมอที่พญาไท 1 ก็ไม่แน่ใจถึงอาการของผม จึงยังไม่ออกใบรับรองแพทย์ให้ ต้องรอผลการตรวจ MRI ก่อน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจทำให้ประกันสังคมมองว่า ก็ยังไม่ 100% ว่าผมเป็นผู้ทุพพลภาวพ แต่หลังจากคุณหมอแน่ใจ และออกใบรับรองฯ ให้ ต้องใช้เวลาถึง 5-6 เดือนกว่าผมจะได้รับเงินชดเชย ดังนั้น ผมก็ไม่ทราบว่าไปช้าที่ขั้นตอนหลัง และประกันสังคมก็ไม่จ่ายย้อนหลังให้ด้วยครับ ทั้งๆ ที่ทราบว่า ผมไม่มีรายได้จากการทำงานในช่วงเวลานั้น (ปัจจุบันอาจจะมีการแก้ปัญหานี้แล้ว ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจ เกี่ยวกับสิทธิ์หลักประกันการว่างงาน)

สำเนา ใบรับรองแพทย์ของผมที่คุณหมอออกให้


เมื่อเราได้ใบรับรองแพทย์แล้ว พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชน - ทะเบียนบ้าน และตัวจริง เพื่อเดินเรื่องที่ประกันสังคม ในกรณีของผม ถ้าจำไม่ผิด ทางบริษัทฯ ดำเนินการให้ แต่ผมอยากแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ ญาติผู้ป่วยควรจี้ หรือติดตามกับเจ้าหน้าที่ของประกันสังคมเพิ่มด้วย เพื่อให้เขาเห็นใจเรา คือช่วยบริษัทฯ อีกแรง

จริงๆ แล้วผมก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงนะครับว่าทำไมถึงช้า เพียงแต่ผมนำประสบการณ์ตรงของตัวเองมาเล่าให้ฟัง ช่วงเวลานั้นผมมีเงินมาจากหลายทาง ซึ่งได้จากประกันอุบัติเหตุ มากที่สุด จึงอาจจะไม่เดือดร้อนอะไร แต่สำหรับผู้ป่วยท่านอื่น ที่ทั้งกำลังประสบปัญหาด้านร่างกายอยู่ ไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ารักษาพยาบาลที่นอกเหนือจากสิทธิ์ต่างๆ และถ้ามองไปไกลๆ ว่าต้องมีรายจ่ายอะไรบ้างในอนาคต ผมว่าถ้าเราควรได้จากทางไหนก็ตาม ก็ควรทำ รักษาสิทธิ์ของเราไว้ก่อน เงินน้อย เงินมาก ก็ช่าง จะกี่ร้อย กี่พันก็ต้องเอา อย่าทำอย่างผม อย่าลืมนะครับควรตามเรื่องอย่างจริงจัง อย่าไปโทษโน่น โทษนี่ เรื่องของเรา เราต้องตาม และจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ผู้ป่วยต้องมีกำลังใจ ต้องสู้ ต้องรักษาสิทธิ์




สำเนาชี้แจงว่าใช้เวชภัณฑ์ และยา อะไรบ้างในการดูแลรักษาตัว และดำเนินชีวิต


2. มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้ญาติผู้ป่วยรักษาสิทธิ์ไว้คือ ผู้ป่วยมีสิทธิ์ได้รับค่ารักษาพยาบาล และเวชภัณฑ์ เดือนละ 2,000 บาท แต่ต้องทำหนังสือชี้แจง ว่าเราต้องใช้อะไรบ้าง ทานยาอะไร ใช้อุปกรณ์ ในการดูแลรักษาอะไร โดยนำเอกสารนี้ยื่นเรื่องพร้อมกัน อย่าผิดพลาดอย่างผม เพราะไปยื่นเรื่องทีหลัง ก็ได้เงินตรงส่วนนี้ช้าลง ผมว่าเยอะนะครับตั้ง 2,000 บาท นำเอกสารนี้เดินเรื่องพร้อมกันกับ สิทธิ์เงินชดเชย





สำเนาเอกสารเมื่อไปเบิกเงินจากประกันสังคม ที่ได้จาก 2 ส่วนคือ เงินชดเชย และเงินค่ารักษาฯ



3. ผมนำตัวอย่างเอกสารที่หลังจากไปเบิกเงินแล้วจะได้รับจากประกันสังคม ซึ่งแสดงรายการ 2 รายการคือ เงินชดเชย และเงินค่ารักษาพยาบาล

ผมหวังว่า ข้อมูลในเรื่องการรักษาสิทธิ์เรื่องเงินชดเชย แลเงินค่ารักษาพยาบาล ที่ผมมีประสบการณ์ตรงนี้ จะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ

ขอบคุณครับ


ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
update : July 13, 2007

42 : สารนิกเกิล ตกค้างในร่างกายผม

สารนิกเกิลตกค้างในร่างกายผม

ตอนนี้ผมจะขออธิบายถึง "โรค" ที่บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินเลยก็ได้ คืออาการที่เกิดจากมี "สารนิกเกิลตกค้าง" ในร่างกาย จนแสดงอาการเฉพาะโรคขึ้นมา

เริ่มเรื่องจาก พี่เลี้ยงที่ดูแลผม ขอลากลับบ้านเพื่อไปทำธุระ 6 วัน จึงจำเป็นต้องให้พี่พยาบาลมาช่วยดูแลประมาณ 3 วัน คือวันเว้นวัน โดยหลักคือเน้น เรื่องการขับถ่าย และเช็ดตัว-ทำความสะอาด และช่วงที่พี่พยาบาลมาดูแลให้นี้เอง ร่างกายของผมก็ยังปกติดีทุกอย่าง จนผ่านไป 1 วันสุดท้ายคือวันที่ 6 ของการกลับบ้านของ
พี่เลี้ยง เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พี่เลี้ยงก็จะมาถึง ปรากฏว่าคืนนั้น บริเวณมือ และเท้าของผมเริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น คือมีผื่นสีแดง กระจายเต็มฝ่ามือ-ฝ่าเท้า นิ้ว ซอกนิ้ว

จากนั้นวันรุ่งขี้น ผื่นแดงที่เป็นตุ่มใต้ผิวหนังเริ่มปูดขึ้นมา อย่างเห็นได้ชัดเจน พื้นที่ที่ปูด-บวม-แดง เริ่มใกล้ชิดกัน จนดูเผินๆ แลวเป็นเนื้อเดียวกัน ต่อมาเริ่มปูดจนเป็นถุงน้ำ และแตกออก มีน้ำไหลเยิ้มออกมา ดูน่ากลัวมาก แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด ไม่มีหนอง ซึ่งส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างสบายใจนิดหน่อยว่า "คงไม่ติดเชื้อ" ครบ 15 วันจึงตัดสินใจไปพบคุณหมอพนิต ที่พญาไท 1

แต่ก่อนไปผมทำการบ้านไปก่อน โดยพยายามคิดว่า อาการที่แสดงออกมานั้น น่าจะเกิดจากสาเหตุใด อะไรเป็นต้นเหตุ และนำสิ่งที่คิดว่าจะเป็นสาเหตุไปด้วย เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรค ดังนี้

1. คิดว่าเกิดจาก " การไปอบรมความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ข้างนอก กลับมาแล้วไม่ได้นวดเท้า ไล่เลือด จากอาการขาบวม"

2. คิดว่า "ติดโรคผิวหนังจากนอกบ้าน" เพราะไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน ร่างกายอาจมีภูมิต้านทานต่ำ จึงติดโรคได้ง่าย

3. คิดว่าเกิดจาก "การทานอาหาร" ที่ไม่ค่อยได้ทานเป็นประจำเข้าไป อาจแพ้อาหารบางชนิด

4. และคิดว่า เกิดจากการแพ้ "น้ำยา หรือสบู่เหลว ที่ใช้ทำความสะอาดตัว" ซึ่งผมให้ความสำคัญกับข้อนี้มากที่สุด

ปรากฏว่า คุณหมอให้คำอธิบายว่า อาการที่ผมเป็นนั้น มีสาเหตุสำคัญจาก "สารนิกเกิล" มัน "ตกค้าง" ในร่างกายผมจนแสดงอาการ คือมันมาแสดงอาการในช่วงเวลานี้พอดี และมักจะเกิดขึ้นกับบริเวณ "มือ" และ "เท้า" เท่านั้น

ส่วนการที่สารนิกเกิลมาตกค้างในร่างกายผมได้นั้น คุณหมอบอกว่า เกิดจากการทานของหมักดองมากเกินไป เช่น ผลไม้ดองชนิดต่างๆ น้ำส้มสายชู เส้นขนมจีนที่มีการหมัก เป็นต้น ทำให้ผมนึกย้อนอดีตไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก บ้านผมเป็นร้านโชวห่วย ขายของทุกอย่าง มีตู้เย็นด้วย และขายผลไม้ดอง เช่น มะม่วงดองเสียบไม้ องุ่นดอง มะขามดอง มะดันดอง มะยมดอง พุทราดอง มะกอกดอง เป็นต้น

ผมจำได้ว่า เวลาจะไปโรงเรียน ก็หยิบมากำมือหนึ่ง หรือชิ้นหนึ่ง กินทุกวัน กลับมาจากโรงเรียนก็กิน จะออกจากบ้านไปซื้อของที่ตลาดก็กิน คือกินบ่อยมากในแต่ละวัน กินทุกวัน ตั้งแต่ ป.5 จนถึง ม.4 พอเลิกขาย เห็นเป็นรถเข็นข้างถนนก็จะซื้อกินเช่นกัน ส่วนน้ำส้มสายชูก็ของชอบ ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวก็ 1-2 ช้อนโต๊ะ ขนมจีนน้ำยา จำได้ว่ากินทุกอาทิตย์ เพราะบ้านใกล้ตลาด มีเจ้าที่ทำอร่อย ช่วง ม.ต้นกินแทบทุกวันเหมือนกันครับ กินตอนเช้าก่อนไปเรียน

นั่นแหละครับสาเหตุที่ทำให้มีนิกเกิล สะสมในร่างกายผมมาก คงมากกว่าคนอื่น ส่วนคำอธิบายถึงอาการของโรค เท่าที่ผมจับใจความได้นั้น คือ "สารนิกเกิล" จะไปทำให้ผิวหนังชั้นในของร่างกาย "เกิดโพรง" ทำให้ "น้ำในร่างกาย" ถูกดันทะลุผ่านเนื้อเยื่อชั้นในมาอยู่ที่ "ผิวหนัง" จึงทำให้เห็นเป็นเนื้อปูดออกมา และมวันจะมารวมตัวกันเป็นถุงน้ำ ไม่เป็นอันตรายอะไร แค่ดูแลให้แผลสะอาดในเบื้องต้น และทานยาที่คุณหมอให้ก็จะดีขึ้น งดทานของหมักดองทุกชนิด ห้ามกินขนมจีน กินก๋วยเตี๋ยวห้ามใส่น้ำส้มสายชู


ลักษณะผื่นแดง เนื้อปูดที่มือ

อาการแสดงที่ง่ามนิ้วมือ


อาการตุ่มปูดที่บริเวณนิ้ว

อีกภาพที่พึ่งเริ่มแสดงอาการ เป็นผื่นแดงใต้ผิวหนัง และคันด้วย



ลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นบริเวณง่ามนิ้วเท้า

ที่เห็นเป็นสะเก็ด เกิดจากหลังจากเจาะถุงน้ำแล้ว ผิวหนังจะกลายเป็นเนื้อตาย หนา สีน้ำตาลเข้ม และลอกออกเป็นสะเก็ดในที่สุด
ตอนหน้าจะนำเรื่องอะไรมาเล่าให้อ่านกัน ช่วยติดตามกันด้วยครับ
ขอบคุณครับ
mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
update : June 20, 2007

41 : ความน่ากลัวของการติดเชื้อ

วันที่ 14 มิถุนายน 2550 ผมได้ทราบข้อมูลจากพี่ที่รู้จักกันมานาน คือพี่อุ้ย ที่ต่อสู้เรียกร้องให้มีการพัฒนางานทางด้านการแพทย์ในองค์รวม ตามมุมมองของผมนะครับ แล้วได้ทราบข้อมูลว่า มีประธานสมาคมคนพิการนานาชาติ หรือระหว่างประเทศเสียชีวิต ที่โรงพยาบาลในวันที่ 7 มิถุนายน 2550 อย่างปัจจุบันทันด่วน สอบถามข้อมูล กลับเป็นผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก จึงอยากจะเขียนให้ผู้อ่านได้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับ " การติดเชื้อ " ว่ามันน่ากลัวมากครับ

ผู้ใหญ่ท่านนี้ ประสบอุบัติเหตุเหมือนผม เป็น case อาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง (spinal cord injury) บริเวณ C6-7 ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อโรคหลายประเภทมากกว่าคนปกติ (ผมได้เขียนเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อโรคของผู้ป่วยกลุ่มนี้ไว้ 3 ตอนคือ ความเสี่ยงต่อโรคของผู้ทุพพลภาพตอน 1, ตอน 2, ตอน 3) ซึ่งหนึ่งในความเสี่ยงของโรค คือ " การติดเชื้อที่ปอด " และ " การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ "

ผู้ใหญ่ท่านนี้ มุ่งมั่นทำงานเพื่อยกระดับให้คนพิการ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายกว่าปัจจุบัน คือท่านมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ รัฐหันมาให้ความสำคัญในการปรับสภาพของสังคม ให้เอื้อต่อการที่จะให้คนพิการออกมาใช้ชีวิตได้มากขึ้น เหมือนคนปกติ ในสังคมโดยไม่ต้องเป็นภาระ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าคนพิการจะไม่อยากออกมาสู่โลกภายนอกนะครับ เพียงแต่สถานที่สาธารณะต่างๆ ไม่เอื้ออำนวยนั่นเอง ดังนั้นคนพิการจึงกลายเป็นภาระทันที ที่คิดจะออกมาข้างนอกครับ

ผมได้โทรศัพท์ไปคุยกับภรรยาของผู้ใหญ่ท่านนี้ ถึงสาเหตุการเสียชีวิต ได้ความวโดยประมาณว่า เนื่องจากผู้ใหญ่ท่านนี้มีภารกิจมากอยู่แล้ว และได้เดินทางไปปฏิบัติงานที่ประเทศบังคลาเทศ จนเป็นไข้หวัดทำให้เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ปอด และเนื่องจากปอดของผู้ป่วยกลุ่มนี้ (ซึ่งก็รวมถึงผมด้วย) ก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จนทำให้ขณะอยู่โรงพยาบาลเกิดอาการ " ปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลัน "

ส่วนเรื่องการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ผมกล่าวถึงสาเหตุเอาไว้ใน ตอนการติดเชื้อในโรงพยาบาล ผมเข้าใจว่าผู้ใหญ่ท่านนี้คงจะคิดเชื้อจากการที่มีการอั้นปัสสาวะ หรือร่างกายอ่อนแอลง ทำให้มีอาการเป็นไข้ ซึ่งอาการไข้มักบ่งบอกถึงการติดเชื้อ จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง ที่โรงพยาบาล

ผมต้องเสียใจกับครอบครัวของท่านด้วย รวมถึงองค์กรที่ท่านดูแลอยู่

ผมอยากให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ที่เป็นทุพพลภาพ ให้ความสำคัญกับการติดเชื้อมากๆ นะครับ สำคัญมาก ญาติๆ หรือคนดูแล ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ระมัดระวัง เอาใจใส่ และสามารถศึกษาได้จากลิงค์ต่างๆ ข้างในบทความ หรืออ่านย้อนหลังในตอนที่เกี่ยวข้องได้ครับ

ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
Tel..& Fax.: 02-924-2726
email : preeda.limnontakul@gmail.com
update : June 15, 2007

40 : กายภาพบำบัดที่บ้าน (2)

สวัสดีครับ ทุกคน วันนี้ผมขอเขียนถึง " ท่ากายภาพบำบัด " ที่ทำที่บ้าน โดยมีภาพประกอบเหมือนเดิม คำอธิบายจากนักกายภาพบำบัด

.........................................................................

การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยวิธีที่เรียกว่า strengthening exercise

ท่าเหยียดศอก












ท่างอข้อศอก











ท่ายกแขนเหนือศีรษะ












หมายเหตุ :
1. เลือกแรงต้านที่เหมาะสมกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
2. จัดท่าในการออกกำลังกายให้เหมาะสม
3. ทำ 10 ครั้ง/set, ทำ 3 set/วัน
4. เมื่อแข็งแรงขึ้นให้เพิ่มแรงต้าน
นักกายภาพบำบัด...........................................................................
ตอนนี้สั้นหน่อยนะครับ คราวหน้าผมขอแรกเรื่องเกี่ยวกับ...

ขอบคุณครับ

mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
update : May 21, 2007

39 : กายภาพบำบัดที่บ้าน (1)

สวัสดีครับ ทุกคน ตอนนี้ผมขอนำเสนอรายละเอียดของท่ากายภาพบำบัด จากนักกายภาพบำบัด ที่ช่วยเขียนรายละเอียดให้ครับ

เป็นท่าออกกำลังกาย ที่ลดอาการเกร็งช่วงล่างของผม ที่นักกายภาพบำบัดจะต้องทำให้ทุกครั้ง

.........................................................................

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันข้อยึดติด โดยวิธีที่เรียกว่า Passive Exercise/ Passive Stretching Exercise ซึ่งเป็นการออกกำลังกายโดยมีผู้อื่นเป็นผู้ทำให้














ท่าเริ่ม ท่ากางข้อสะโพก














ท่ากางข้อสะโพก














ท่างอสะโพก-งอเข่า













ท่ากางขา-หุบขา ในท่างอเข่า-งอสะโพก















ท่างอสะโพก














ท่ากระดกข้อเท้า
หมายเหตุ :

1. ทำในท่าตรงข้าม กับอาการเกร็ง
2. ทำท่าตรงข้ามกับอาการเกร็ง

3. ยืดค้างไว้ 5-10 วินาที

4. ทำช้าๆ ท่าละประมาณ 10-15 ครั้ง/ set หรือขึ้นกับอาการตึง

5. ทำจังหวะสม่ำเสมอ


น้องเอ (นามสมมุติ)
นักกายภาพบำบัด

...........................................................................

ตอนนี้ก็สั้นๆ ง่ายๆ ครับ ผมจะนำท่ากายภาพบำบัด ที่มีภาพมาฝากในตอนต่อๆ ไปครับ


ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
email : preeda.limnontakul@gmail.com

update : May 21, 2007

38 : เวชภัณฑ์ที่เป็นของเหลว

สวัสดีครับ ทุกคน มาต่อกันที่เวชภัณฑ์ที่ผมใช้กันต่อ เกี่ยวกับของเหลวทั้งหมด เริ่มเลยครับ

1. โลชั่นบำรุงผิว (Intensive Lotion) ยี่ห้อ "พีเอช5-ยูเซอริน (pH5 Eucerin)" ขนาดบรรจุ 1,000 มล. ผลิตโดย บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้ง 163 นิคมอุตสาหกรรมบางพลี สมุทรปราการ : เป็นสูตรสำหรับผิวเซนซิทีฟ ประเภทผิวธรรมดา-ผิวแห้ง ผมจะใช้ทาเพื่อไม่ให้ผิวแห้ง เพราะถ้าผิวแห้งก็จะทำให้คันผิวหนัง อยากเกา ก็เกาไม่สะดวก หรือเกาไม่ได้ บางทีก็ต้องทำเป็นไม่สนใจ จนลืมไปได้ว่าคัน

แต่ผมก็จะไม่ให้พี่เลี้ยงทาทุกวัน เพราะผมไม่ค่อยชอบทาครีม หรือโลชั่นอยู่แล้ว จึงให้พี่ทาวันเว้นวัน เดี๋ยวนี้ก็อาทิตย์ละ 1-2 วันเท่านั้น ทาบางๆ และไม่ได้ทาทั้งตัว ทาบางบริเวณเท่านั้น

2. โลชั่นอาบน้ำถนอมผิว (Protective Washlotion) ยี่ห้อ "พีเอช5-ยูเซอริน (pH5 Eucerin)" ขนาดบรรจุ 1,000 มล. : ใช้แทนสบู่สำหรับทำความสะอาดผิวกาย และผิวหน้า เหมาะสำหรับผิวเซนซิทีฟ ประเภทผิวธรรมดา-ผิวแห้ง ซึ่งผมจะใช้โลชั่นตัวนี้ทำความสะอาดบริเวณช่วงขาหนีบ และอวัยวะเพศโดยเฉพาะ ส่วนการเช็ดตัว ใช้เฉพาะน้ำเปล่าเท่านั้น

3. น้ำยาฆ่าเชื้อ ที่ผสมกับน้ำเกลือ normal saline ไว้ใช้สำหรับตอนเปลี่ยนสายสวน และเช็ดทำความสะอาดสายสวน ในระหว่างเช็ดตัวทำความสะอาด








4. น้ำเกลือ (Normal Saline Solution) ความเข้มข้น Sodium Chloride 0.9 g:Each 100 ml ขนาดขวดบรรจุ 1,000 ml ยี่ห้อ Klean&Kare ผลิตโดย A.N.B. Laboratories Co., Ltd. ที่ตั้ง 557 ถนนรามอินทรา กรุงเทพฯ http://www.anblab.com/ : ใช้เป็นส่วนผสมกับน้ำยาฆ่าเชื้อจากโรงพยาบาล และใช้สำหรับ ทาแผลบนผิวหนัง ก่อนทายา ส่วนแผลกดทับคุณหมอมักแนะนำให้ใช้น้ำเกลืออยู่แล้ว

5. แอลกอฮอล์ (Ethanol Alcohol) ยี่ห้อ JCL ขนาดบรรจุ 450 มล. ผลิตโดย บริษัท เยาวราช จำกัด ที่ตั้ง 1055/4 สุขุมวิท 71 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ โทร.02-3915411 : ใช้สำหรับฆ่าเชื้อแผลสดที่คนทุกคนก็อาจเป็นได้ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ผม และโดยส่วนตัวผมชอบทาแอลกอฮอล์มากกว่าจะใช้เทนโซพลาส หรือเบตาดีนเลย เพราะเมื่อใช้แล้ว แผลของผมจะไม่อักเสบ ไม่เป็นหนอง ขึ้นสะเก็ดเร็ว แห้งเร็วครับ


6. สบู่เหลวเฉพาะที่สำหรับผู้หญิง (Feminine wash) สูตรอ่อนโยน (sensitive) ยี่ห้อ เดทตอล (Dettol) ขนาดบรรจุ 220 มล. ผลิตโดย บริษัทรูเบียอุตสาหกรรม จำกัด ที่ตั้ง 70 ม.13 ถ.ปู่เจ้าสมิงพราย พระประแดง สมุทรปราการ : ผมจะใช้สบู่เหลวชนิดนี้ ตอนทำความสะอาดก้น หลังอุจจาระเสร็จตอนเช้า


7. ยาใส่แผลเบตาดีน (BETADINE Solution) ขนาดบรรจุ 30 cc. ผลิตโดย LFD Manufacturing Ltd. ที่ตั้ง ปทุมธานี : จะใช้ใส่แผลสด ซึ่งในระยะหลังผมแทบไม่ได้ใช้เลย






8. ยาสวน หรือลูกสวนทวารยูนีซัน (Unison Enema) ซึ่งมีส่วนผสมของ sodium chloride 15% ลูกขนาดบรรจุ 10 cc. 1 กล่อง บรรจุ 10 ลูก ผลิตโดย บริษัท ยูนีซัน จำกัด ที่ตั้ง 160 ซอยอ่อนนุช ถนนสุขุมวิท ลาดกระบัง กรุงเทพฯ : อาจเรียกอีกอย่างว่า ยาระบายโซเดียม คลอไรด์ ชนิดสวนทวาร ซึ่งรายละเอียดการใช้ผมเคยเขียนไว้ใน ตอน MOM vs ยา๕ลย์ กับการขับถ่าย ครับ
ตอนนี้ยาวหน่อย ตอนหน้าขอแทรกเรื่องกายภาพบำบัดอีกครั้งครับ

ขอบคุณครับ

mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
update : May 15, 2007

37 : เวชภัณฑ์สีขาว (สำลีกับบลูแพด)

สวัสดีครับ ทุกคน ตอนนี้ผมขอเขียนถึงเวชภัณฑ์ หรือเครื่องใช้ที่เป็นสีขาว นิ่มๆ ทั้ง 2 อย่าง คือบลูแพด (Blue Pad) และสำลี ซึ่งมี 2 ชนิดคือ แบบม้วน และแบบก้อน ที่มีลักษณะการใช้งานต่างกัน ผมจะข้ออธิบาย เป็นชนิดเลยนะครับ

บลูแพด ( แผ่นรองซับ ) ขนาด 45x70 ซม. บรรจุ 10 แผ่น ราคา 135 บาท
ผลิตโดย บริษัท นิน่าอุตสาหกรรม จำกัด ที่ตั้ง 450/8 ซ.ลาดพร้าว 53 (โชคชัย 4) ลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 โทร.02-5386671
จัดจำหน่ายโดย บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ตั้ง 448/11 ซ.ลาดพร้าว 53 กรุงเทพฯ โทร.02-9332921-4: ตลอดเวลา 5 ปีกว่า ผมได้ใช้บลูแพด มาหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อที่ดีที่สุดคือ ซ้อฟเท็กซ์ (softex) เพราะจะไม่ขาดง่าย ไม่ยับง่าย มีหน้าที่รองก้น เพื่อป้องกันการขับถ่าย เช่น

1. อาจมีอุจจาระเล็ด หรือตกค้างจากการถ่ายปกติ และในกรณีท้องเสีย อาจจะมีอุจจาระระหว่างวันได้

2. เวลาผมต้องออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะนั่งรถของเราเอง หรือ TAXI ก็ต้องระวังเรื่องอุจจาระเช่นกัน ดังนั้นควรลองที่เบาะรถด้วย

3. เวลาเช็ดถู-ทำความสะอาดร่างกาย ต้องรองก้น เพราะขณะทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ต้องมีการใช้น้ำสะอาดราด บลูแพดก็จะซึมซับน้ำไว้

4. ใช้บลูแพดรองเป็นชั้นที่ 2 เพื่อรองรับอุจจาระขณะถ่าย

ในความเป็นจริง ไม่น่าเชื่อว่า การเลือกใช้บลูแพดนั้นเป็นอีกเวชภัณฑ์หนึ่งที่สำคัญ เพราะผมเคยเป็นแผลที่ก้นมาแล้ว แต่ดูแลจนหาย ทำให้ไม่เป็นแผลกดทับ แต่ถ้าไม่ระวังก็อาจกลายเป็นแผลกดทับได้ สาเหตุมาจาก ผมต้องคอยขยับตัว ยกตัว และเวลาทำท่าเหล่านี้ ผมจะเอามือสอดไปใต้บลูแพด แล้วจึงยกตัว หรือขยับตัว ดังนั้นถ้า บลูแพดมีคุณภาพไม่ดี ก็จะยู่เข้าไปอัด ทำให้มีรอยยับ และเกิดความหนา เมื่อน้ำหนักที่ก้นกดทับ จะเกิดรอย ถ้านานก็อาจเป็นรอยช้ำ และเป็นแผลได้

การใช้งานบลูแพดนั้น สำคัญที่การรองก้น ต้องไม่ยับ ไม่ยู่ยี่ง่าย คือเลือกใช้อย่างดี ( ผมขอขยายความเรื่องนี้อีกหน่อย เพราะสำคัญเช่นกัน เวลาผมนั่งทำงานปกติ ผมจะไม่ดึงกางเกงมาถึงเอว แต่ดึงมาแค่ต้นขา ส่วนก้นจะนั่งบนบลูแพด เพื่อให้ระบายความร้อน และถ้าดึงกางเกงมาถึงเอว หรือมีเนื้อผ้า อาจเกิดรอยยับจากกางเกง หรือตะเข็บกางเกงได้) รองลงมาคือต้องซับน้ำหรือ ของเหลวดี

ส่วนบลูแพดที่ถูกลงมา ให้นำมารอง ตอนขับถ่ายจะดีกว่า ส่วนการเช็ดตัว ก็ให้ใช้บลูแพดที่รองนั่งทั้งวันได้เลย เพราะถ้าใช้อย่างดีจะไม่ขาดง่าย ขณะนี้กำลังทดลองใช้บางยี่ห้ออยู่ ได้ผลอย่างไรจะนำมาอธิบายอีกครั้งครับ


สำลีก้อน ( สำลีแท้จากฝ้ายบริสุทธิ์ 100% ) น้ำหนัก 100 กรัม ยี่ห้อรถพยาบาล : มีหน้าที่ในการใช้งาน คือ

1. ซับแอลกอฮอล์ เช็ดทำความสะอาดแผลสด หรือเวลาผมคัน-ระคายเคืองผิว

2. ซับแอลกอฮอล์ ไว้เช็ดอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือของผม เช่น ไม้แคะหู ที่ตัดเล็บ กรรไกรตัดขน มือถือ โน๊ตบุ๊ค (note book) เครื่องโทรศัพท์+แฟกซ์ เป็นต้น

3. เทน้ำยาฆ่าเชื้อบนสำลี และใช้ทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกวัน รวมถึงสายสวนสีเหลืองด้วย

4. ใช้ชุบน้ำเปล่าสะอาด แล้วเช็ดรูก้นให้สะอาด หลังขับถ่ายเสร็จทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าสะอาด ซึ่งจะทำให้ไม่มีอุจจาระตกค้างสีเหลือง บนบลูแพด และทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ สำหรับผมแล้วในห้องนอน ที่ผมใช้ทำงานด้วย จะพบว่าไม่มีกลิ่นเลย ทำให้ไม่รบกวนคนที่มาเยี่ยมผมด้วย

5. ใช้เช็ด และรองขี้หู เวลาแคะหู เพราะเป็นสำลีอนามัย ทำให้มั่นใจขึ้น

6. ซับแอลกอฮอล์ ใช้เช็ดเล็บ หลังตัดเล็บ ให้ไม่มีกลิ่น และฆ่าเชื้อ

7. ใช้อุดรูหู เวลาตัดผม เพื่อป้องกันผมเข้าหู และเวลาสระผม เพื่อป้องกันน้ำเข้าหู จนชื้น แล้วอาจจะเป็นหูอักเสบ

8. ชุบน้ำเปล่าสะอาด ไว้ใช่เช็ดขอบตา หรือเขี่ยขี้ตา

ข้อควรระวังคือ พยายามอย่าใช้มือหยิบก้อนสำลี เพราะมือของเราจะสกปรก มีเชื้อโรค ต้องใช้วิธีแกะซิปรูดของถุงสำลีอนามัย แล้วเขย่า+เทลงในภาชนะที่มีฝาครอบ ในปริมาณพอเหมาะ เพื่อให้ไม่ใช้นานเกินไป หรือน้อยไปจนต้องไปเปิดถุงสำลีบ่อยๆ เพราะการเปอดถุงสำลีบ่อยๆ ก็มีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าไปได้มากขึ้น ผมคิดว่าเป็นอีกรายละเอียดหนึ่ง ที่เป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม




สำลีก้อน ( สำลีแท้จากฝ้ายบริสุทธิ์ 100% ) น้ำหนัก 200 กรัม ยี่ห้อ รถพยาบาล (Ambulance)
ผลิตโดย บริษัท บางพลี คอตตอน อินดัสตรี จำกัด ที่ตั้ง 49 ม.7 ถ.กิ่งแก้ว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10540
ผู้แทนจำหน่าย บริษัท ไอดีเอส มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้ง 505 ม.2 ถ.อุดมศรยุทธ์ ต.คลองจิก อ.บางปะอิน อยุธยา 13160 โทร. 02-6866888 : เนื่องจากเป็นสำลี ก็คงจะใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย แต่ผมจะใช้สำลีแบบม้วนเป็นหลัก ในการเช็ดก้น หลังขับถ่าย โดยนำสำลีก้อนมาฉีกเป็นชิ้นขนาดพอเหมาะ ประมาณครึ่งฝ่ามือ ลงไปในขันพลาสติกที่มีน้ำสะอาด เมื่ออุจจาระเสร็จ จะเลอะที่ก้น นำสำลีที่ฉีกเตรียมไว้ เช็ดจนสะอาด วางบนบลูแพด ใช้สำลีก้อนที่เตรียมไว้ดังคำอธิบายข้างต้น เช็ดที่รูก้น เพื่อความสะอาดสุดท้าย ตามด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อทำความสะอาดที่รูก้น และบริเวณรอบๆ

ผมจะทยอยนำเวชภัณฑ์ต่างๆ มาเขียนอธิบายนะครับ หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับผู้ป่วย และญาติผู้ป่วยให้สามารถนำไปใช้ได้ ถ้ามีคำแนะนำ ช่วย comment ด้วยนะครับ


ขอบคุณครับ
ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
Tel. & Fax.: 02-924-2726
email : preeda.limnontakul@gmail.com
update : May 15, 2007

36 : Herbalife จากเพื่อนมัธยม

สวัสดีครับ ทุกคน จริงๆ แล้วตอนนี้ผมจะเขียน เกี่ยวกับเวชภัณฑ์ต่อ แต่เพราะว่ามีเพื่อนเก่าผมในสมัยมัธยม ชื่อซิว พาแฟน และคุณลุง คุณป้าอีก 2 ท่านมาเยี่ยม และนำสิ่งดีๆ เข้ามาให้ผม ผมจึงต้องเขียนก่อนเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเกี่ยวกับสุขภาพของผมเช่นกัน

ต้องเกริ่นก่อนว่า ผมรู้จักผลิตภัณฑ์ของ Herbalife มาได้ 3 ปีแล้ว แต่ก็จดๆ จ้องๆ อยู่นาน เพราะอยากทดลองใช้ผลิตภัณฑ์มาก ซึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนผมมีกำลังซื้อ แต่เนื่องจากนโยบายหลักของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ เป็นลักษณะ MLM จึงมักถูกชวนให้ทำเป็นธุรกิจ ประมาณว่าผมต้องเสียเงิน 20,000-85,000 บาท แทบจะทุกที่ ที่ผมติดต่อ จึงเกิดความกังวลใจ และตัดสินใจไม่ซื้อมาทาน แต่ผมได้ดู CD คำอธิบาย และสาธิต ของสินค้า ก็เก็บความรู้สึกอยากทดลองเอาไว้...

จนกระทั่ง เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เพื่อนมัธยม ก็พาเพื่อนอีกคนหนึ่ง ชื่อ "ซิว" และแฟน มาหา ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนาน ประกอบกับในวัยเรียน ก็มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ถึงแม้จะอยู่ต่างห้อง ซิวจึงเห็นใจผมอย่างมาก และพยายามหาทางช่วยเหลือ

" นายต้องให้ความร่วมมือกับเรานะ ไม่ต้องทำอะไร แค่ทำตามที่เราขอ เราจะหาทางช่วยนาย "
" ได้ รับปาก "

วันที่ 13 วันอาทิตย์ ซิวกับไก่ มาพร้อมกับคุณลุง คุณป้า พวกเราทั้ง 5 คนได้พูดคุย-สนทนากัน ซึ่งก็รวมถึงเนื้อหาหลักที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคุณป้า และไก่ ที่เคยย่ำแย่มาก่อน แต่เมื่อได้ทาน ผลิตภัณฑ์ของ Herbalife สุขภาพก็ค่อยๆ ดีขึ้นจนปัจจุบัน อย่างน่าอัศจรรย์ รวมถึงผู้คนที่คุณป้าแนะนำให้ทาน จนดีขึ้น พร้อมรูปถ่ายที่คุณป้านำมายืนยัน

ผมมีความรู้สึกขอบคุณทุกคน แต่ไม่ได้แสดงออกมาก ตามสไตล์ของผม ซึ่งผมดีใจ ตื้นตัน ผมต้องตอบแทนความรู้สึกดีๆ ของทุกคน ด้วยการตั้งใจทาน สิ่งดีๆ ที่นำมาฝากให้ผม ซิวกระซิบกับผมว่า " เอ็งไม่ต้องสนใจอะไร กินเข้าไป เรื่องเงินไม่ต้องคิด " ในใจของผม...พูดไม่ออก เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผมจะจดจำไว้

ความรู้สึกที่ผมได้รับ ไม่ใช่บรรยากาศของการขาย แต่เป็นความช่วยเหลือ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นเพื่อน เป็นญาติ เป็นพี่น้อง ที่เข้าช่วยเหลือ ไม่มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าผมจะทำเป็นธุรกิจ ทุกคนก็ยินดีสนับสนุน และถ้าผมจะทำ ผมจะต้องทำกับทุกคนแน่นอน ซึ่งผมกล้าบอกได้เลยว่า น่าจะมีหลายลคนที่สนใจในผลิตภัณฑ์ Herbalife แต่ส่วนใหญ่ต้องหยุด เพราะอะไรก็ดูเป็นธุรกิจไปหมด ต้องใช้เงินมาก ความจริงใจไม่มี ผิดเจตนารมย์ของผู้ก่อตั้งที่ผิดหวังกับการจากไปของมารดา จึงต้องการนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดีๆ บอกต่อๆ กันไป ในลักษณะแนะนำให้ทาน เพราะตัวเองเคยประสบปัญหาสุขภาพ แล้วดีขึ้น

ถ้าผู้อ่านท่านใดที่เป็นเหมือนผม คือยากทาน แต่ไม่ได้อยากทำเป็นธุรกิจในระยะแรก แล้วต้องการความสบายใจ ติดต่อผมได้ ผมจะให้เบอร์ติดต่อของเพื่อนผมไป แล้วคุณก็จะพบกับความสบายใจ หรือถ้าจะทำเป็นธุรกิจ ผมก็คิดว่าทุกคนจะช่วยเหลือคุณได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนเป็น user ที่ดีมาก่อนแล้ว ที่จะมาเป็นตัวแทน

ผมคงจะตอบแทนความรู้สึกดีๆ ของทุกคนในเบื้องต้น ได้เพียงช่วยประชาสัมพันธ์ให้ใน blog นี้เท่านั้น ขอย้ำนะครับนี่ไม่ใช่โฆษณา

ตอนหน้าขอกลับมาเขียนถึง เวชภัณฑ์ต่อครับ


ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225
Tel. & Fax.: 02-9232724
email : preeda.limnontakul@gmail.com
email : preeda@gpaymentservice.com
website : http://www.pwdom.com/
update : May 14, 2007

35 : เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนสายสวน

สวัสดีครับ ทุกคน วันนี้ผมขอเขียนถึง อุปกรณ์ในการเปลี่ยนสายสวนและขั้นตอนการเปลี่ยน ครับ โดยเริ่มเป็นข้อๆ ดังนี้

1. เข็มฉีดยา (Syringe) ขนาด 10 มิลลิลิตร (ml) ยี่ห้อ NIPRO บรรุในซองพลาสติกฆ่าเชื้อ ผลิตโดย NIPRO (THAILAND) CORP., LTD. -ที่ตั้ง จ.พระนครศรีอยุธยา : ใช้เข็มฉีดยาดูดน้ำเปล่าออกจากสายสวน จากนั้นใช้กระดาษทิชชู่สะอาด จับดึงสายสวนออกจากผู้ป่วย อย่างช้าๆ เพื่อจะคอยสังเกตุด้วยว่า สายสวนติดขัดหรือไม่ ถ้าติดขัดห้ามดึงแรงๆ ต้องหาวิธีแก้ไขต่อไป เช่นนำเข็มฉีดยา มาดูดน้ำออกจากสายสวนใหม่อีกครั้ง เพราะอาจดูดออกไม่หมด


ข้อควรสังเกตุ และระวังในขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับตอนนี้ คือเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้ายของการเปลี่ยนสายสวน ที่ตอนฉีดน้ำเปล่าสะอาดเข้าสายสวน ให้เป็นลูกโป่งใกระเพาะปัสสาวะห้ามใช้น้ำเกลือ (Normal Saline Solution) เพราะถ้าทิ้งค้างสายสวนไว้นานๆ อาจทำให้ตกผลึกของเกลือแกง จนดึงสายสวนออกไม่ได้

2. น้ำเกลือ (Normal Saline Solution) ความเข้มข้น Sodium Chloride 0.9 g:Each 100 ml ขนาดขวดบรรจุ 1,000 ml ยี่ห้อ Klean&Kare ผลิตโดย A.N.B. Laboratories Co., Ltd. ที่ตั้ง 557 ถนนรามอินทรา กรุงเทพฯ http://www.anblab.com/ : ใช้เป็นส่วนผสมกับน้ำยาฆ่าเชื้อจากโรงพยาบาล เพื่อไว้ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ที่ต้องใส่สายสวน





3. ชุดเซ็ทฆ่าเชื้อ (Ratain Catheter Set) / Code (RTS/PY1 : E.O.Sterilized) ซึ่งภายในแพ็คที่บรรจุฆ่าเชื้อนี้ ประกอบด้วย สำลีสะอาด 10 ชิ้น (10 Cotton Balls 1.00 g.) ถุงมือฆ่าเชื้อ 1 คู่ (2 M Gloves (pair)) แผ่นฆ่าเชื้อสีเขียว ที่มีช่องตรงกลางขนาด 60 x 60 เซนติเมตร (1 Blue Napkin - 1 Aperture 60 x 60 cm.) และถาดที่บรรจุสำลี (1 Tray) ยี่ห้อ steriCLIN ผลิตโดย THAI GAUZE CO., LTD. : เปิดชุดเซ้ท หยิบถุงมือฆ่าเชื้อออกมา ใส่ตามวิธีการของนางพยาบาลคือไม่ให้มือสัมผัส ถุงมือภายนอก หยิบแผ่นสีเขียวกางออก นำน้ำยาที่ผสมเตรียมไว้เทใส่ก้อนสำลีให้ทั่ว เช็ดทำความสะอาดบริเวณใกล้เคียง ที่จะสอดสายสวนเข้าไป






4. เจลหล่อลื่น (Gel Intim-Lubricating Jelly) เป็นลักษณะหลอด ปริมาณ 50 มิลลิลิตร ยี่ห้อ DUO ผลิตโดย บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้ง 163 นิคมอุตสาหกรรมบางพลี ถ.บางนา-ตราด สมุทรปราการ : บีบเจลไว้บนแผ่นสีเขียว ปริมาณพอเหมาะ







5. สายสวนโฟเล่ (Folet Balloon Catheter-100% Silicone Coated)
Type : 2 wat standard Male, Size : 14FR/CH.30ML ยี่ห้อ KENDALL ผลิตโดย The KENDALL Company (A tyco INTERNATIONAL LTD. COMPANY)น่าจะนำเข้า : ผมใช้อยู่ 2 ขนาดคือเบอร์ 14 และ 16 สลับกัน เพื่อให้ภายในช่องนำปัสสาวะที่ถูกสอดเข้าไปมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา จะได้ยืดหยุ่น : นำสายโฟเล่ออกจากถุง ที่บรรจุ 2 ชั้น เพื่อป้องกันเชื้อโรค อย่างถูกต้องตามหลักความสะอาด แล้วเคลือบด้วยเจล ที่เตรียมไว้บนแผ่นเขียว แล้วสอดเข้าไปตามช่อง จนเกือบสุดสายโฟเล่ (อาจจะมีน้ำปัสสาวะไหลออกมาได้)

6. ฉีดน้ำเปล่าสะอาดที่เตรียมไว้ในเข็มฉีดยาเข้าไปในสายโฟเล่ ในช่องด้านข้างของสายโฟเล่ ที่เป็นลักษณะตัว Y

7. ค่อยๆ ดึงสายสวนออก จนรู้สึกได้ว่า ลูกบอลลูนข้างในมาชนกับผนังกระเพาะปัสสาวะ

8. ถุงเก็บปัสสาวะ (Urinary Drainage Bag) ขนาด 2,000 ml with non-return valve ลักษณะ T-Valve ยี่ห้อ BEVERMED ผลิตโดย BEVERMED IND ที่ตั้ง 470 ม.4 ซอยชวนสิน ถนนพหลโยธิน ลำลูกกา ปทุมธานี 12130 : นำสายยางของถุงเก็บปัสสาวะ เสียบเข้าช่องของสายสวนโฟเล่ เพื่อให้ปัสสาวะไหลออก และถือว่าเป็นการอาศัยหลักแรงดัน คือเมื่อน้ำปัสสาวะมีปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะไหลมาลงที่ถุงเก็บ ในตอนอื่นผมจะลงรายละเอียดของเวชภัณฑ์บางตัวให้ละเอียดกว่านี้








9. เทปกาวแบบไม่ระคายเคือง (Micropor) ยี่ห้อ 3M ผลิตโดย บริษัท 3 เอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด : ไว้สำหรับติดสายยางของถุงเก็บกับต้นขา โดยการติดควรจะคอยสลับตำแหน่งของการติด เพื่อลดการระคายเคืองของผิวหนังอีกทางหนึ่งได้

10. ทำความสะอาดอวัยวะฯ ด้วยสำลีอนามัยในถาดอีกครั้ง ถือว่าเสร็จขั้นตอนการเปลี่ยนสายสวน

ข้อสังเกตุเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ เมื่อเปลี่ยนสายสวนใหม่ๆ น้ำยาเจลหล่อลื่น จะถูกขับออกมา เกาะที่สายโฟเล่ ซึ่งจะมีสีเหลืองเข้ม ถึงน้ำตาล คล้าย "หนอง" อย่าตกใจ ทำความสะอาดก็หาย ไม่อันตราย อาจจะมีออกมาได้ 1-3 วันครับ

ผมหวังว่าตอนนี้คงจะมีประโยชน์กับผู้ป่วย และญาติผู้ป่วยนะครับ ที่สำคัญคือ ขั้นตอนต่างๆ ในการเปลี่ยนสายสวนนั้น ต้องผ่านการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะต้องระวังเรื่องการติดเชื้อเป็นพิเศษ ถ้าติดเชื้อแล้วก็จะยุ่งยากในภายหลังได้ ลองอ่านดูในตอนที่เกี่ยวข้องนะครับ

ตอนหน้ายังคงเกี่ยวข้องกับเวชภัณฑ์อีกครับ


ขอบคุณครับ


ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-322-9307
Tel. & Fax.: 02-960-9156
email : preeda.limnontakul@gmail.com
update : May 13, 2007
Follow me on Twitter
Visit me on Facebook