การติดเชื้อในโรงพยาบาล

สำหรับในประเทศไทยแล้ว เรื่อง " การติดเชื้อในโรงพยาบาล " ดูจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะผมเคยได้ยินจากทั้งแพทย์ และนางพยาบาลว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ขอย้ำนะครับ ผมกำลังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแห่งที่ 2

" ส่วนใหญ่ที่มารักษาที่นี่ ก็เห็นติดเชื้อกันทุกคน สบายใจได้ คุณปรีดาไม่ได้ติดเชื้อคนเดียว "

ผมงงมากๆ เลยว่าตกลงพวกเขาจะให้กำลังใจกับผม หรือมันเป็นเรื่องปรกติสำหรับที่นี่ แล้วที่โรงพยาบาลอื่น จะเป็นแบบนี้ไหม

ยิ่งนับวัน ดูแล้วอาการติดเชื้อของผมจะไม่ดีขึ้น นี่ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วครับที่คุณหมอแจ้งกับคุณแม่ผมว่า เปลี่ยนยาแล้วลองดูอีกทีว่าจะหยุดเจ้า "สูโดโมแนส" ได้ไหม แถมมันเริ่มชวนพรรคพวก เชื้ออื่นมาร่วมสมทบด้วย รู้สึกจะชื่อ "มาชา" หรือ "มาช่า" อะไรประมาณนี้ (คือชื่อเหมือนดารา-นักร้องครับ กำลังดังจากเรื่อง หนังสยองขวัญ "แฝด" อยู่พอดี ฉายแค่สัปดาห์เดียว โกยไปแล้ว 50 ล้านบาท อันนี้โปรโมทหนังให้ครับ)

ผมขอโทษนะครับ ลืมอธิบายว่าผมติดเชื้อที่บริเวณไหน พูดอยู่ได้ว่าติดเชื้อๆ แต่ไม่ยอมบอกว่าที่ไหน ผมขอสรุปถึงความเสี่ยงเรื่องกาติดเชื้อของผม (กรณีของตัวผมคนเดียว) เลยละกัน

1. อันดับแรก ผมคิดว่าคือการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ คือติดเชื้อที่ปอด ผู้ป่วยในกลุ่มทุกพลภาพ เนื่องจากอุบัติเหตุอย่างผม ถือว่าอยู่ในระดับสูง (ในประเทศไทยมีคนที่เป็นระดับสูงกว่าผม มีอีกเยะนะครับ ผมเคยเห็นในทีวี 2 คนในรายการ "เจาะใจ") ปอดจะไม่แข็งแรง สั่งเสลดไม่ได้ มักจะเริ่มติดเชื้อที่ปอดก่อนเลย คือแพทย์ต้องเฝ้าระวังเรื่องนี้มากๆ

แต่เป็นเพราะว่าผมพอจะมีความรู้ เรื่องนี้ แล้วอีกอย่างผมมีการเตรียมตัวก่อนจะมาดำรงตำแหน่ง "ผู้ทุกพลภายพถาวร" มาอย่างดีอยู่แล้ว จึงไม่เกิดปัญหาติดเชื้อในหัวข้อนี้ โดยผมปฏิบัติตัวอย่างนี้ครับ

A. ผมจะพยายามไม่ให้ร่างกายของผม ไปสัมผัสกับสิ่งของในโรงพยาบาล โดยเฉพาะมือ เพราะเราอาจเผลอนำมือมาสัมผัส หรือใกล้บริเวณอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระทางเดินหายใจ เช่น จมูก หรือ ปาก

B. เวลานางพยาบาล หรือผู้ช่วย จะเข้ามาดูแลตัวผม ต้องสวมถุงมือก่อน (ขั้นตอนนี้สำคัญมากนะครับ สบายใจทั้ง 2 ฝ่าย เขาก็ไม่ต้องกลัวเราหรือเกรงใจ เราก็ไม่กลัวเชื้อโรคของโรงพยาบาลที่ติดตัวของเขา หรือเธอที่มาปฏิบัติกับเรา ) และเท่าที่ผมรู้มา ทุกโรงพยาบาลจะมีการฝึกสอน (training) ให้เจ้าหน้าที่ ล้างมือ และสวมถุงมือ เมื่อต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยทุกครั้ง ทุกคนอยู่แล้ว

.................................................................

ถึงตรงนี้ ผมขอแทรกนิดนึงครับ หลังจากที่ผมเจ็บป่วยคราวนี้ ทำให้ผมสนใจข่าวสารด้านการแพทย์มากขึ้น ผมเคยอ่านเจอว่า เชื้อโรคในโรงพยาบาลนั้นจะถูกสะสมอยู่แทบทุกพื้นที่ และเจ้าคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นี่แหล่ะ ตัวดีนักเชียว เนื่องจากมันเป็นอุปกรณ์ที่มีปุ่มตัวอักษรมากมาย ที่ทำให้เชื้อโรคเข้าไปสะสม และหลบซ่อนได้ง่าย ทำความสะอาดลำบาก

แล้วลองนึกภาพตามนะครับ นางพยาบาลกำลังดูแลคุณอยู่ จู่ๆ มีผู้ช่วยมาตามว่าหัวหน้าเรียกด่วน เธอขอตัวคุณสักครู่เพื่อไปรับโทรศัพท์ เริ่มแล้วครับ ถุงมือที่พึ่งสวมเมื่อตะกี้ และกำลังจะปฏิบัติหน้าที่อะไรก็ไม่รู้ เช่น กำลังจะฉีดยาให้คุณ หรือกำลังจะป้อนข้าวคุณ หรือเปลี่ยนสายสวนให้คุณ หรือฟีด (feed) อาหารทางสายยางให้คุณ จะเสี่ยงต่อการสัมผัส และรับเชื้อมาจากโทรศัพท์ ที่เป็นตัวกลางสะสมเชื้อโรค และแพร่กระจายโดยมีมือของแต่ละคนเป็นพาหะนำเชื้อ

จากนั้นหัวหน้าของเธอก็ให้เธอหาข้อมูลที่ต้องการ เธอก็เอาโทรศัพท์หนีบที่หัวไหล่ (เห็นไหมครับเชื้อโรคแบ่งกองทัพไปฝังตัวที่ หัวไหล่เสื้อของเธออีก 1 กองพัน) จากนั้นเธอก็เอามือที่สวมถุงมือ (ซึ่งอีกสักประเดี๋ยว เจ้าถุงมือคู่นี้แหล่ะที่จะอาจจะกลายเป็นถุงมือพิฆาต นำเชื้อโรคต่างๆ ไปสัมผัสตัวคุณ) กดคีย์บอร์ด เพื่อดูข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์ รีบแจ้งข้อมูลสำคัญนั้นให้หัวหน้าของเธอ แล้วเธอก็รีบวางโทรศัพท์ แล้วรีบเข้ามาหาคุณ และดูแลคุณต่อ

แล้วคุณจะไปทราบ หรือรู้อะไรเล่าครับ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่คุณไม่ได้เห็น มันเร็วมาก เธออาจจะหายไปแค่ 1 นาทีเท่านั้น แค่นี้คุณก็เสี่ยงต่อการรับเชื้อแล้วครับ

นี่เป็นเพียงจินตนาการของผมคนเดียวนะครับ คือสมอง createได้แบบนี้ครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
ผู้เขียน และผู้ทุกพลภาพ

................................................................

C. ไม่ว่าจะเป็นญาติ หรือเพื่อน ที่เข้ามาคุยกับผม ผมจะกลั้นหายใจ คือให้ทุกคนพูดจนจบก่อน ซึ่งระหว่างที่ฟังผมจะกลั้นหายใจตลอด ก็ผมบอกแล้วว่าเตรียมตัวมาอย่างดี (ตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ ผมชอบกลั้นหายใจ อยู่ดีๆ ก็ฝึกกลั้นหายใจซะอย่างนั้น) เมื่อผมพูดโต้ตอบ หรือสนทนาจบ ก็กลั้นหายใจต่อ ดังนั้นยิ่งถ้าเป็นคุณหมอ นางพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลผมยิ่งต้องเข้มงวดกับตัวเองเรื่องการกลั้นหายใจ โดยที่ทุกคนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

D. ใส้ที่ปิดปาก-ปิดจมูก (mask) ในบางสถาณการณ์ที่เราคิดว่าจำเป็น เช่นเมื่อมีคนมาเยี่ยมมากๆ ในห้อง หรือเมื่อมีคนเป็นหวัดมาเยี่ยมเรา เราไม่ควรเกรงใจ ขออนุญาตเขา ใส่ mask ทันทีเพราะเขานำเชื้อมาฝากแล้วก็ไป (บางทีให้เขาใส่ก็ได้) หรือเวลานอนผมก็ใส่ประจำ เพราะเราจะหายใจปกติ เราไม่สามารถกลั้นหายใจได้ เชื้อโรคมีอยูเต็มไปหมด อย่าคิดว่าอึดอัด ตรงนี้ก็ป้องกันได้เช่นกัน

ดังนั้นแล้ว ผมจึงไม่เคยติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งทุกวันนี้

2. เป็นการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ เพราะผมต้องใส่สายสวน "สายโฟร์เล่" ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีมีลักษณะเป็นเส้นยางมีรูตรงกลาง 2 รู สีเหลือง ถูกสอดเข้าไปตามช่องของอวัยวะเพศชาย โดยใช้น้ำยาหล่อลื่นเพื่อลดการอักเสบ ให้เข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะ เมื่อกระเพาะมีแรงดันที่เกิดจากการสะสมของน้ำปัสสาวะ ก็จะไหลผ่านสายโฟร์เล่ออกไปยัง "ถุงเก็บปัสสาวะ" ภายนอกที่ต่อเชื่อมกันอยู่แล้ว เป็นระบบปิดเช่นนี้ตลอดเวลา

การติดเชื้อในหัวข้อนี้ ผมไม่รอดครับ ที่พูดว่าติดเชื้อๆ ในหลายๆ ตอนที่ผ่านมา ก็คือผมติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะครับ เราลองมาดูปัจจัยในการติดเชื้อของหัวข้อนี้กันครับ

A. ขณะที่นางพยาบาลที่กำลังเปลี่ยนระบบปัสสาวะให้ (ประกอบด้วยสายสวน และถุงเก็บปัสสาวะ) ต้องใช้ชุดเปลี่ยนที่เป็นชุดเซ็ตฆ่าเชื้อ เห็นไหมครับชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าฆ่าเชื้อ ดังนั้นขั้นตอนการเปลี่ยนสายสวน และถุงเก็บปัสสาวะก็ต้องปลอดเชื้อด้วย จึงสรุปได้ว่าในขั้นตอนนี้ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็จะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้

B. ขั้นตอนการเก็บปัสสาวะไปตรวจ-เพาะเชื้อ สืบเนื่องจากผมติดเชื้ออยู่แล้ว จึงต้องมีการนำปัสสาวะไปตรวจ ซึ่งวิธีที่ถูกต้องคือต้องใช้เข็ม-กระบอกฉีดยามาดูดปัสสาวะออกไป จึงจะทำให้ระบบปิดของการสวนปัสสาวะยังคงเป็นระบบที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ยังต่ำอยู่ แต่เป็นเพราะที่นี่ ใช้วิธีถอดจุดเชื่อมต่อระหว่างสายสวน และถุงเก็บปัสสาวะออก แล้วใช้กระบอกฉีดยาดูดปัสสาวะออกมา ซึ่งวิธีนี้ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก เพราะทำให้ระบบปิด กลายเป็นระบบเปิด

C. เนื่องจากถึงผมจะเป็นผู้ทุพพลภาพ แต่อวัยวะในร่างกายไหนที่เป็นระบบอัตโนมัติ ก็ยังคงทำงานปกติ ผมจึงคิดว่าในส่วนอวัยวะเพศก็เช่นกัน ตั้งแต่ผมอยู่โรงพยาบาล จนถึงปัจุบันนี้มันยังสามารถขยายตัวได้ ดังนั้นเมื่อหดตัว พื้นที่สายโฟร์เล่จะยาวทำให้มีโอกาสที่เชื้อจะมาจับที่สายได้ เมื่ออวัยวะฯ ขยายตัวก็จะคลุมสายสวน ดังนั้นอาจทำให้ติดเชื้อจากสาเหตุนี้ได้อีกเช่นกัน (แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าจากสาเหตุนี้ น่าจะน้อย เพราะเราใส่กางเกงตลอดเวลา หรืออาจติดเชื้อขณะเจ้าหน้าที่ดูแลส่วนนี้ก็ได้)

D. ถ้าเราปล่อยให้ถุงเก็บปัสสาวะเต็ม จะส่งผลให้น้ำปัสสาวะที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะไหลลงมาไม่ได้ เชื้อแบคทีเรียจะสะสมในกระเพาะฯ จนแสดงอาการ อาการที่ว่าคือ เป็นไข้ขึ้นสูง 38-39.5 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ว่าเราจะระวังอย่างไรก็มีพลาดบ้าง

แต่ก็เป็นเพราะว่า ผมติดเชื้ออยู่ก่อนแล้ว ในข้อ D. จึงเป็นปัจจัยที่เลี่ยงไม่ได้ วิธีแก้ง่ายๆ คือต้องสร้างนิสัยว่า ไม่ต้องรอให้เกือบเต็มถึงจะเททิ้ง หรือกำหนดเป็นเวลา เช่นทุกๆ 6 ชั่วโมงต้องเททิ้ง เป็นต้น

3. การติดเชื้อที่แผล (แผลเปิด หรือแผลกดทับ) เพราะสุดท้ายผมก็หนีไม่พ้นที่ต้องมี "แผลกดทับ" เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีพื้นที่ร่างกายส่วนใหญ่ที่ไม่รู้สึกตัว และสั่งการไม่ได้ ดังนั้นเมื่อนั่ง หรือนอนนานๆ ก็เสี่ยงที่จะเป็นแผลกดทับ จากน้ำหนักที่กดทับตามจุดร่างกายต่างๆ

ก็เป็นเพราะว่าผมเจ็บคอมาก และกำลังเครียดกับการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้บรรยากาศของเจ้าหน้าที่ เวลาเข้ามาดูแลผมจะอึมครึมกันไปหมด เวลาผมเจ็บคอผมก็จะให้น้องสาวเป็นคนขยับตัวให้ เนื่องจากผมระแวงผู้ช่วย และนางพยาบาลของที่นี่ จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาดูแลผม วันเวลาผ่านไป.....

ทำให้ผม และน้องๆ ที่ยังขาดความรู้ และประสบการณ์ในช่วงนั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่อง "การพลิกตัว" หรือ "ตะแคงตัว" อีกอย่างเวลาที่เจ้าหน้าที่มาพลิกตัวให้ ผมจะเจ็บคอมาก และเคยทิ้งศีรษะผม ทำให้ผมเจ็บมากๆ จนผมไม่กล้าให้ทำ

จากสาเหตุทั้งหมด ทำให้ผมนอนหงายถึง 6-8 ชั่วโมงถึงจะได้รับการพลิกตัวจากญาติๆ ที่เปลี่ยนเวรมาดูแล เนื่องจากต้องใช้หลายคนดูแล

แผลกดทับของผมเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สีเริ่มมีสีเขียว มีกลิ่นนิดหน่อย และดูอาการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะจะไม่ลดลง มีไข้ตลอดเวลา ร้อนๆ หนาวๆ และนี่ก็ผ่านมา 1 เดือนครึ่งแล้ว

คราวหน้าผมขอพูดถึงเรื่องประกันก่อน เพราะเดี๋ยวจะข้ามเหตุการณ์สำคัญอีกอย่าง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน งั้นตอนนี้ผมขอแค่นี้ก่อน

ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
email : preeda.limnontakul@gmail.com
update : April 8, 2007

6 comments:

  1. เมื่อ พ. 18 เม.ย. 2550 @ 03:28 [228725] [ลบ]
    สวัสดีค่ะคุณปรีดา
    เพิ่งตื่นหรือยังไม่นอนค่ะเนี่ย
    จริง ๆ ในโรงพยาบาลน่าจะมีห้องปลอดเชื้อนะค่ะ
    คุณเป็นคนรอบคอบมากเลย แต่อย่างว่ามันมีปนมาในอากาศแบบหนีไม่พ้น

    ReplyDelete
  2. เมื่อ พ. 18 เม.ย. 2550 @ 03:41 [228729] [ลบ]
    สวัวดีครับ อาจารย์สุภราภรณ์

    ยังไม่นอนครับ ช่วงนี้ผมกำลังทำ project งาน website อยู่ครับ จะนอน 6:30-12:00 ครับ

    ขอบคุณครับ

    ReplyDelete
  3. เมื่อ อา. 29 เม.ย. 2550 @ 01:40 [242017] [ลบ]
    คุณปรีดาทำประโยชนอย่างมากกับผู้ที่ต้องนอนอยู่ในสภาพเดียวกันนะคะ เพราะญาติจะได้สังเกตสิ่งต่างๆที่จะนำมาซึ่งผลร้ายต่อร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งบางครั้งเราอาจจะหวังพึ่งบุคลากรที่ดูแลจนลืมไปว่า พวกเขาทุกคนทำงานทุกอย่างจนเป็นอัตโนมัติ บางครั้งอาจจะพลั้งเผลอได้ พวกเรากันเองนี่แหละที่อยู่ด้วยตลอดเวลา จะสามารถช่วยกันตรวจสอบดูแลให้ได้ด้วยและดีกว่า

    ลองฝึกหายใจไปที่ท้องและกลั้นหายใจดูตามที่คุณปรีดาบรรยายด้วย เหมือนฝึกสมาธิเหมือนกันนะคะ

    ReplyDelete
  4. rainny วันที่ : 23/07/2007 เวลา : 18.44 น.
    http://www.oknation.net/blog/rainny
    Good Times



    อ่านเรื่องนี้แล้ว คิดอะไรหลายๆ อย่างได้อีกเยอะเลยค่ะ
    สำหรับเรื่องคีย์บอร์ดและโทรศัพท์นั้น เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ว่าเป็นที่สะสมของเชื้อโรค
    บนแป้นคีย์บอร์ดจะมีช่องว่างอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเป็นที่สะสมเชื้อโรคได้ดีมาก นานๆ ทีต้องแกะออกมาเช็ดบ้างค่ะ เอ จะว่าไปก็ไม่ได้เช็ดตั้งนานแล้วนะคะนี่ โทรศัพท์ก็ไม่ชอบให้ใครมาใช้ของโต๊ะตัวเอง รู้สึกแปลกๆ น่ะค่ะ แล้วก็ติดนิสัยล้างมือบ่อยๆ ด้วยค่ะ บางทียังคิดเลยว่า เอ เราใช้ทรัพยากรมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

    ส่วนเรื่องติดเชื้อทางระบบปัสสาวะนั้น พี่ที่รู้จักกันคนหนึ่งมีลูกป่วยด้วยอาการที่ระบบประสาทไม่สามารถสั่งการให้ปัสสาวะเองได้ตั้งแต่กำเนิดค่ะ ต้องใช้วิธีสวนเหมือนกัน ซึ่งติดเชื้อได้ง่ายมาก ทุกวันนี้ต้องไปหาหมอเพราะไข้ขึ้นบ่อยๆ

    ReplyDelete
  5. อธิบายได้ละเอียดมาก ในเรื่องการติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ ถ้าเป็นผู้หญิงมีรอบเดือนอีก คงยุ่งยากน่าดู

    เพิ่งรู้ว่าคุณปรีดามีความสามารถพิเศษ ในการกลั้นหายใจ (ได้นาน)

    สงสัยว่า ที่central world ตอนสัมภาษณ์คนหูหนวก กลั้นหายใจ ด้วยหรือเปล่า 555

    ReplyDelete
    Replies
    1. ไม่ครับคุณฟู เอ๊ะ.....หรือว่า กลั้นหายใจ
      คือตอนนี้จะไม่ค่อยทราบแล้ว เพราะว่าร่างกายผมจะค่อนข้างอัตโนมัติแล้ว
      บางครั้งรู้ตัวอีกทีก็กลั้นหายใจไปแล้วครับ

      Delete

Follow me on Twitter
Visit me on Facebook