ลางสังหรณ์ตลอดมา

ผมเคยได้ยินมาหลายครั้งว่า บางคนมักจะฝันบอกเหตุล่วงหน้า ถึงคนและเหตุการณ์ ต่างๆ หรือบางคนก็อาจรู้สึกไม่สบายใจ หรือดลใจ หรือทำของหล่น ตกแตกบ้าง หรืออีกหลายๆ ลักษณะแต่ตัวผมเองไม่เคยมีควมรู้สึกในลักษณะนั้น จนเมื่อผมได้กลายเป็น " ผู้ทุกพลภาพถาวร " แล้วนั้น 2 ปีต่อมา ผมได้พบกับ คุณผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งคุณผู้หญิงท่านนี้ ได้ยินเรื่องราวของผมจากผู้อื่น จึงสอบถามที่มา จนเราได้พบกัน

พวกเราได้พูดคุยกัน สนทนากันในหลายๆ เรื่อง และในเรื่องของคำพูดของผม ที่มักจะพูดเป็นประจำ หรือการกระทำ หรือความรู้สึกแปลกๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา คุณผู้หญิงท่านนี้ บอกผมว่า เป็นเพราะจิตวิญญาณของผมรู้อยู่แล้วว่า จะเกิดอุบัติเหตุกับผม ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมจะต้องเสียชีวิต แต่เป็นเพราะมีดวงวิญญาณตนหนึ่ง สงสารผม และเข้าช่วยเหลือผมขณะเกิดเหตุ ผมถึงได้รู้ว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตลอดมาก่อนเกิดเหตุ เป็น

ลางสังหรณ์ ที่มี ตลอดมา นั่นเอง

เหตุการณ์ที่รู้สึกแปลกๆ ที่เกิดกับผมตลอดเวลา เช่น

ผมรู้สึกเสียดายเวลามาก ทำให้บุคลิกของผมต้องเดินเร็วๆ ออกไปในทางวิ่งซะมากกว่า ยกตัวอย่าง เวลาเดินไปซื้อของที่ตลาด ซึ่งหากจากบ้านประมาณ 300 เมตร ผมก็จะวิ่ง ยิ่งเวลาไปเจอคนเดินพลุกพล่านมากๆ จะมีความรู้สึกว่า ต้องฝ่าฝูงคนไปให้เร็วที่สุด จึงกลายเป็นวิ่งซิกแซก จริงๆ ฟังดูแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไร เด็กๆ ทุกคนก็เป็นแบบนี้ แต่ว่าจนเรียนจบ แล้วทำงานผมก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ แต่ก็จะดูสถานที่ด้วยนะครับ

ขณะเรียนอยู่ในระดับประถม ก็จะมีลักษณะความคิดต่างจากเพื่อนนิดหน่อย เช่น ชั่วโมงลูกเสือ ต้องใช้ "มีด" ตัดเชือก ตอนเข้าค่ายกับเพื่อนๆ เพื่อนผมก็จะถามว่า ทำไมไม่ใช้มีดตัดเชือก เอา "เศษแก้ว" หรือ "เศษกระเบื้อง" หรือ "ขอบไม้ไผ่" หรือ "ไฟแช็ค" หรือแม้กระทั่ง เอาเชือกไปถู-ครูด กับ "ขอบปูนซิเมนต์" มาทำให้เชือกขาดทำไม เสียเวลา ผมบอกเพื่อนว่า แล้วถ้าไม่มีมีด จะเอาอะไรตัด ผมก็ได้คำตอบว่า ตอนนี้มีมีดก็ใช้มีดไป ถ้าไม่มีค่อยคิดก็ได้

เมื่อเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยก็เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ เพื่อแสวงหา "เพื่อนแท้" จนจบ ที่ผมเกริ่นนำมาตลอดจนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า

ทุกอย่างหล่อหลอมให้ผมเป็นคนที่มีความคิดช่วยเหลือผู้อื่น ยอมรับในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ยอมโดนเอารัดเอาเปรียบ และในบางครั้งก็เรียกร้อง-ยอมรับ ในบางเรื่องที่ตัวเองต้องเสียเปรียบ-เสียหาย ด้วยความสมัครใจของตนเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกว่า "คนโง่" นั่นเอง แต่มันก็เป็นความสมัครใจของผมเอง เช่น

ตอนทำงานเป็น Sales Representative ที่แรก ผมยอมใช้รถเก่าๆ พวงมาลัยรถบิดไปทางขวา คือเสียศูนย์นั่นเอง ในขณะที่คนอื่นเรียกร้องรถที่ดีกว่านี้ ถ้าผมไม่ยอมเหมือนเพื่อน ก็ได้เช่นกัน แต่ผมยอมรับได้

อะไรๆ หลายอย่าง เริ่มเข้าสู่ เหตุการณ์ที่เตือนผมมาตลอดแล้วครับ

ผมชอบทำงานมาก เรียกว่าบ้างานดีกว่า มักจะอยู่ถึง 3 ทุ่ม ถึงไปหาลูกค้ามาแล้วก็จะกลับเข้ามาที่ office อีกเพื่อศึกษางานในส่วนอื่นต่อ เพราะรู้สึกว่าต้องเรียนรู้มากๆ เวลามีน้อย

เวลาขับรถ ผมจะใช้ข้อมือ-ฝ่ามือ หรือท่อนแขน (ข้อมือ-ศอก) จนเพื่อนถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ผมตอบว่า เผื่อเวลามือเจ็บ ขับไม่ได้ ซ้อมไว้ก่อน

ระหว่างดำเนินชีวิตประจำวัน มักมีเสลดออกมาตลอด ทำให้ต้องคายเสลดใส่กระดาษทิชชู่ แบบไม่มีเสียง เป็นระยะๆ ดังนั้นในรถ และในลิ้นชักที่ทำงานจะมีกระดาษทิชชู่อยู่เสมอ (เพื่อนๆ ที่อ่านคงจะงงว่า การที่ร่างกายผมขับเสลดเป็นระยะๆ เกี่ยวข้องอะไร แต่เกี่ยวข้องจริงๆ ครับ ผมจะกล่าวถึงในเรื่องนี้ตอนที่อยู่ห้อง I.C.U. ครับ)

ผมไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานเหล้า สิ่งเสพติดอื่นๆ ไม่เที่ยวผับ-บาร์ คือไม่สร้างโอกาสให้ตัวเองมีปัญหาด้านร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าแข็งแรงมาก เพราะผมสูง 175 เซนติเมตร แต่น้ำหนักแค่ 54 กิโลกรัม จัดว่าผอมครับ เพียงแต่แข็งแรงในลักษณะของสุขอนามัยมากกว่า (ซึ่งช่วยผมได้มากขณะทำการผ่าตัด)

ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นผู้ทุพพลภาพแล้วครับ

มีประโยคสำคัญ ที่ผมพูดกับคนรักของผมตลอดเวลาที่เราไปมาหาสู่กัน เธอมักจะถาม คำถามซ้ำๆ กับผมบ่อยๆ หรือบางครั้ง เธอไม่ได้ถาม ผมก็พูดขึ้นมาเองเลยว่า "ที่ผมทำแบบนี้ ให้คุณก็เพราะว่า ถ้าวันไหน ผมไม่สามรถทำให้คุณได้ ขอให้รู้ว่าผมทำไม่ได้จริงๆ แต่ในใจผมอยากทำให้จริงๆ" ก็เป็นเพราะว่าตลอดมา เรามักจะต้องมีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันเป็นประจำ เช่น ไปวัดถึงปีละ 6 แห่ง ทุกเดือนต้องซื้อของที่ห้าง ทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเธอ ในลักษณะที่ดูจะโอเวอร์ในสายตาคนอื่นๆ (เห็นเขาว่ากัน แต่ผมมองเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษอะไร) ปัจจุบันนี้ ประโยคนี้เรียกน้ำตาของผมกับเธอได้ทุกครั้ง ที่เรามีปัญหาถาโถมเข้าใส่ แล้วต้องปรับความเข้าใจกัน

น่าจะพร้อมแล้วครับ แต่ยังครับ ยังขาดเรื่องสำคัญ เรื่องประกันชีวิตครับ

กรมธรรม์แรกเลยครับ ก่อนผมจะรถคว่ำ 11 เดือน ผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเตาปูน ได้ชวนให้ผมทำประกันอุบัติเหตุ แบบจ่ายรายปีครั้งเดียว มูลค่า 1,200 บาท ให้ความคุ้มครอง 500,000 บาทถ้าเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ ผมตกลงใจ เพราะเกรงใจผู้จัดการ

ต่อมาอีก 2 เดือน ผมได้สิทธิ์ทำประกันชั้น 3 ฟรี เพราะเป็นสวัสดิการของพนักงานในตำแหน่ง Sales Engineer ของบริษัท Berli Jucker ซึ่งผมก็ขอเพิ่มเงินเป็นประกันภัยชั้น 1 แต่ผมรู้สึกหงุดหงิดกับผลตอบแทนของกรมธรรม์ ที่ให้สินไหมสำหรับรักษา และกรณีเสียชีวิต หรือทุกพลภาพ รายการละเพียง 50,000 บาท รวมเป็น 100,000 บาท ผมจึงตัดสินใจเพิ่มเบี้ยประกันภัยไปอีก 3,000 กว่าบาท เพื่อให้เพิ่มวงเงินชดเชยกรณีรักษาพยาบาลเป็น 100,000 บาท และกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพเป็น 100,000 บาท รวมทั้งสิ้น 200,000 บาท ซึ่งทำให้ผมมีความสุขมาก

และอีก 2 เดือนต่อมา มีพี่ผู้หญิงที่รู้จักกัน ชื่อพี่ยุ้ย ที่เช่าตึกแถวคุณแม่ผมที่ อ.บางพลี-เมืองใหม่ มาเยี่ยมที่บ้าน และผมได้ตัดสินใจทำกรมธรรม์อุบัติเหตุกับพี่ยุ้ยอีก 1 ฉบับ เสียเงินไป 1,200 บาท ได้รับความคุ้มครอง 200,000 บาทถ้าเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ เช่นกัน

ดูทุกอย่างจะพร้อมแล้วครับสำหรับการเป็นผู้ทุพพลภาพ แต่ ไม่ได้ ไม่ได้ครับ

ยังขาดอยู่อีก 1 เรื่อง ใช่แล้วครับ ผมต้องรีบจัดการเรื่อง รถยนต์ให้กับเธอซะก่อน ผมจึงได้ขายรถของเธอ เพื่อนำเงินของเธอไปดาวน์รถใหม่ ว่ากันง่ายๆ ก็คือเป็นธุระให้เธอ ช่วยดำเนินการให้เธอเหมือนกับหลายๆ เรื่องที่ช่วยเธอทำครับ

คราวนี้พร้อมจริงๆ แล้วครับ อีก 7 วันต่อมา

เวลาประมาณ ตี 4 กว่าๆ ของวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2544

ผมหลับใน และรถพลิกตะแคง บริเวณทางลงสะพานข้ามคลองเล็กๆ ระหว่างทางเข้าโรงเรียนป่าไม้ประชาอุทิศ กับทางมุ่งหน้าไป ท่าอิฐ บนถนนรัตนาธิเบศร์ อ.บางบัวทอง ใกล้บ้านแม่ผมเอง เพราะผมออกมาจากบ้านแม่ตอนตี 4

ต่อจากนี้ผมขอเล่าในหัวข้อต่อไป เพราะเกรงว่าจะยาวเกินไป

ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
email : preeda.limnontakul@gmail.com
Date : April 4, 2007

14 comments:

  1. เมื่อ จ. 16 เม.ย. 2550 @ 16:29 [226585] [ลบ]
    สวัสดีคุณปรีดา ค่ะ

    ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

    บ่อยครั้งที่มีลางสังหรณ์ต่างๆเกิดขึ้นกับชีวิตเรา ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จริง

    และบ่อยครั้งที่เป็นลางสังหรณ์ที่เป็นความฝัน แต่เราไม่เชื่อ ด้วยคิดว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน จนกระทั่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับที่เราเคยฝันก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ

    ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ เพราะดิฉันเองก็เคยผ่านเหตุการณ์ที่เสียขวัญในระดับหนึ่งของชีวิตเมื่อเดือนธันวาคม 2549 ที่ผ่านมานี่เอง

    แต่ฟ้าหลังฝนก็ย่อมสดใสค่ะ

    ReplyDelete
  2. เมื่อ จ. 16 เม.ย. 2550 @ 16:52 [226606] [ลบ]
    สวัสดีค่ะ...คุณปรีดา

    ดีใจที่ได้มารู้จักคุณและอ่านบันทึกของคุณ...และอยากจะบอกว่า...คุณเริ่มต้นที่จะเป็นครูให้กะปุ๋มได้เข้ามาเรียนรู้ชีวิต...

    หากคุณเข้ามาอย่างธรรมดา...ก็อาจมองดูไม่แปลก..แต่คุณเข้ามาอย่างที่คุณเรียกว่า "ผู้ทุกพลภาพ"...จึงเริ่มมองดูแปลก...แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรแปลก หรือแปลกก็แปลกได้ในทุกคน...ไม่ใช่เพียง "รูป"..กายภายนอกนี้...สิ่งที่ดึงให้ดิฉันได้เข้ามาอ่าน คือ ภายในของคุณ...ความคิดและจิตใจต่างหาก ที่น่าอยากเข้ามาค้นหาและเรียนรู้...แลกเปลี่ยนและทำความรู้จัก...

    (^_____^)

    ขอบคุณค่ะ

    กะปุ๋ม

    ReplyDelete
  3. เมื่อ จ. 16 เม.ย. 2550 @ 16:55 [226610] [ลบ]
    ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ คุณปรีดา ประสบการณ์ชีวิตของคุณปรีดา รวมทั้งทุกสิ่งที่เขียนบรรยายมา เป็นสิ่งเตือนใจที่ดีมากให้กับพวกเราทุกคน ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่นะคะ จะคอยติดตามต่อไปค่ะ

    ReplyDelete
  4. เมื่อ จ. 16 เม.ย. 2550 @ 19:03 [226731] [ลบ]
    สวัสดีค่ะ
    ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ
    ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ ที่นำมาถ่ายทอดให้อ่าน น่าสนใจมาก

    ReplyDelete
  5. Ranee
    เมื่อ จ. 16 เม.ย. 2550 @ 19:19 [226741] [ลบ]
    สวัสดีค่ะ

    คำว่าลางสังหรณ์ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ราณีก็เคยมีความรู้สึกปวดหัวไม่อยากไปไหน แต่พ่อบังคับให้ออกไป ราณีก็บอกว่ารู้สึกไม่ดีเลย แต่ก็ต้องออกมาส่งแม่บ้านสุดท้ายมอเตอร์ไซค์ คว่ำ หน้าเกือบเสียโฉม ตัวเป็นแผลหน้าบวมเป็นเดือนเลยค่ะ มีอีกเยอะค่ะ

    ReplyDelete
  6. เมื่อ ศ. 20 เม.ย. 2550 @ 21:37 [232654] [ลบ]
    อ่านบันทึกคุณปรีดาแล้วทำเกิดความรู้สึกตื้นตันใจ

    ได้อะไรหลายๆอย่าง ที่สำคัญได้ความเข้มแข็ง

    ได้พลังใจที่อยากทำอะไรอีกหลายๆอย่างให้คนที่รัก

    ขอบคุณและ ขอเป็นกำลังใจค่ะ

    ReplyDelete
  7. เมื่อ ศ. 27 เม.ย. 2550 @ 11:51 [240010] [ลบ]
    บันทึกของคุณปรีดาสอนอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตครับ
    ขอบพระคุณที่มาแลกเปลี่ยนครับ

    ReplyDelete
  8. นิธินันท์ วันที่ : 19/07/2007 เวลา : 23.53 น.
    http://www.oknation.net/blog/nithinand



    มาสวัสดีและขอแสดงความชื่นชมคนจิตใจแข็งแรงค่ะ

    จะคอยติดตามอ่านงานนะคะ

    ReplyDelete
  9. ทรราชน้อย วันที่ : 20/07/2007 เวลา : 00.10 น.
    http://www.oknation.net/blog/sukhanito
    ทกฺษิโณ สปริวาโร ทุสิโล อาสจฺโส โมฆปุริโส ทกฺษิโณ ร ลชโช โข ปนตโต ทกฺษิณ อเปหิ แปลว่า ทักษิณรวมทั้งบริวาร ไร้ศีลสัตย์ และเสียชาติเกิด ทักษิณไร้ยางอายที่สุด ดังนั้น ทักษิณ...ออกไป



    มาอ่านจบไปอีกเรื่อง ครับ

    ReplyDelete
  10. rainny วันที่ : 22/07/2007 เวลา : 13.03 น.
    http://www.oknation.net/blog/rainny
    Good Times



    คุณเล่าได้เป็นขั้นเป็นตอน จำทุกช่วงเวลาของชีวิตได้ดีค่ะ เดี๋ยวจะอ่านบทต่อไปต่อค่ะ

    ReplyDelete
  11. zuni วันที่ : 22/07/2007 เวลา : 19.55 น.
    http://www.oknation.net/blog/zuni



    อ่านจบเริ่มหวาดๆแล้วสิคะ นี่ลูกพี่ลูกน้องก็มาเสนอเพิ่มประกันชีวิตและสุขภาพ รักษาด้วยสเต็มเซลล์ได้ด้วย
    นี่ก็เพิ่งตกลงไปประมาณ 1 เดือนกว่า ช่วยๆญาติและกลัวไม่in trend น่ะค่ะ เข้าข่ายมั้ยคะเนี่ย

    ReplyDelete
  12. สเลเต วันที่ : 26/07/2007 เวลา : 21.02 น.
    http://www.oknation.net/blog/mahahong



    มาเป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งแรงใจนะคะ
    คุณเข้มแข็งมากเลยค่ะ
    คุณอาจไม่เหมือนผู้อื่นในเรื่องร่างกาย
    แต่หัวใจและสมองของคุณ
    ไม่ได้ทุพพลภาพไปด้วยนะคะ
    เป็นกำลังใจให้ค่ะ
    จะพยายามเข้ามาอ่านบ่อยๆ

    ReplyDelete
  13. สบายดีไหมครับ ไม่เขียนเรื่องราวให้ตามอ่านแล้วเหรอครับ หวังว่ากำลังใจสำคัญจากเธอคนนั้นจะดูแลพี่ให้มีแรงเขียนบล็อกต่อไปครับ

    รออ่านครับ

    ReplyDelete
  14. เรื่องฝึกหรือลองทำอะไรเผื่อไว้ เราก็เคยลองนะ
    จำได้ว่า มีอยู่วันหนึ่งดูรายการทีวี นำเสนอเรื่องคนพิการที่มีแต่ขา2ข้าง แต่สามารถปรับตัวใช้ชีวิตไม่ต่างจากกับคนปกติ เขานั่งแล้วยกขา เอาเท้าหนีบหวี หวีผมของตัวเองได้อย่างคล่องแคล่ว
    ไม่รอช้า เราลองทำตามดูบ้าง แม้ว่าเป็นท่าทางที่ไม่ค่อยถนัด แต่ก็พอทำได้
    โชคดีที่ไม่ต้องหวีผมด้วยเท้า!!

    ReplyDelete

Follow me on Twitter
Visit me on Facebook