Showing posts with label การขับถ่าย. Show all posts
Showing posts with label การขับถ่าย. Show all posts

112: อาหารช่วยระบบขับถ่าย 1 มื้อ ใน 1 วันของข้าพเจ้า

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้มีโอกาสดี ที่จะได้ถ่ายภาพมาฝากเพื่อนๆ โดยเฉพาะที่พิการแล้วกำลังมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย เช้านี้ (พฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2556) ผมมีประชุมช่วงสายที่กระทรวงไอซีที จากนั้นก็รีบกลับมาบ้านเพื่อเร่งทำงานเอกสรที่มีเยอะมากๆ ครับ ทั้งตกค้างมาจากปีที่แล้ว และกำลังจะเสนองานใหม่ ไม่นับที่ต้องเรียนปริญญาโท ด้วยนะครับ และผมก็กำลังจะออกเดินทางไปเรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แล้วครับ

ช่วงนี้ต้องประหยัดมาก จึงขอให้คุณแม่ช่วยทำผลไม้จากที่บ้านไปทาน ปกติจะไปซื้อทานข้างนอก จึงนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ดูกันครับ ก็มีสตอเบอรี่ กับส้มโอครับ ถ้าหากเราทานส้มโอนะครับ ตอนที่ถ่ายกลิ่นส้มโอจะมาครับ คือเราจะร้เลยว่าเป็นส้มโอ ซึ่งผมเองเวลาได้กลิ่นก็บอกไม่ถูกว่า มันเหม็น หรือมันเป็นกลิ่นส้มโอ กลิ่นจะแปล่งๆ บอกไม่ถูก และสำคัญที่สุดจะไม่ลืมก็คือ ยาคูลย์ 5 ขวดครับ ถ้าไม่ดื่ม ถ่ายไม่ค่อยออกครับ

ผมออกจากบ้านมา 16.00 น. เดินทางไป กินไป ระวังไปด้วย เดี๋ยวมีเบรค ส้มจะแทงเหงือกเอาครับ จึงจะกินตอนที่รถจอดเช่น ติดไฟแดง หรือรถติดเท่านั้นครับ


เห็นฉากหลังถาดผลไม้ไหมครับ พุงผมเอง ผมจะซีเรียสเรื่องพุงมาก จะพยายามอย่างมากไม่ให้มีมากไปกว่านี้ครับ ก็ไม่ใช่ว่าจะกลัวอ้วนนะครับ แต่แค่ระวังน้ำหนักเพิ่มไปกว่านี้ครับ ตอนนี้ก็พอใจระดับหนึ่ง แต่ถ้าลงกว่านี้อีกนิดก็จะดี


ในระยะหลังนี้ ผมเริ่มสนใจทานอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ถ้านับกันจริงๆ แล้วผมก็ทานผลไม้ 1 มื้อใน 1 วันแล้วครับ ถ้าอีกมื้อของผมเป็นมังสาวิรัติ ใน 1 วัน เท่ากับผมจะทานมังสวิรัติ 2 ใน 3 มือ ผมจะพยายามทำนะครับ หากมีโอกาสจะนำอาหารเสริมที่ผมมีทานมานานแล้ว และกำลังจะเริ่มทานมาแบ่งปันนะครับ




110 : พิการรุนแรงมา 11 ปี ต้องคอยเช็คพุง ไม่ให้ใหญ่ ต้องทำอย่างไร ?

สวัสดีครับเพื่อนๆ ช่วงนี้ใกล้ปลายปี 2555 ผมก็กลายเป็นคนพิการรุนแรงมาแล้ว 11 ปี อายุก็ครบ 40 ปีพอดี เมื่อสัก 5-6 ปีก่อน ผมได้มีโอกาสเจอพี่ที่พิการแบบเดียวกันคนหนึ่ง พี่เขาบอกว่า เมื่อไหร่ที่ผมอายุถึง 40 ปีก็จะมีพุง แบบใหญ่ๆ เหมือนแตงโมแบบพี่เขา คือ เหมือนกับว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ละ คนพิการรุนแรงไม่ได้ออกกำลังกาย นั่งในรถเข็น แล้วก็นอนบนเตียง กินๆๆๆ ขับถ่ายก็หลายวันขับถ่ายสักครั้ง มันทำให้ผมหลอนมากเลยครับ

เพราะตั้งแต่ตอนที่ยังไม่พิการแล้ว ผมจะกังวลใจเรื่องการมีพุง มากๆ สำคัญไปกว่านั้น หลังเป็นคนพิการรุนแรงแล้ว การมีพุง อาจจะเป็นตัวบ่งบอกหลายๆ สัญญาณอันตราย ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น

  • มีพุงแสดงว่าน้ำหนักมาก คนดูแล ผู้ช่วย จะแย่ไปกันหมด
  • มีพุงอาจมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายหลายวันครั้ง
  • ซึ่งก็แสดงว่ามีของเสียในตัวพอสมควร
  • มีพุงมีปัญหากับกางเกงมาก และอาจส่งผลต่อสายปัสสาวะตันทางอ้อม
  • มีพุง แล้วไม่สมาร์ท หาเสื้อผ้าใส่ยาก
  • เป็นต้น
รวมๆ ผมก็ไม่อยากมีพุง แต่สำหรับคนพิการรุนแรงก็เลี่ยงไม่ได้ครับ ผมจึงทำได้เพียงแค่ให้มีให้น้อยที่สุด ด้วยการพยายามทานข้าวไม่มาก ทานผักในอาหารเสมอๆ และใน 1 วันต้องมีผลไม้ 1 มื้อ ต้องดื่มนมเปรี้ยวยาคูลย์ 5 ขวดทุกวัน เพื่อช่วยขับถ่าย ซึ่งผมจะขับถ่ายเป็นเวลา คือ ทุกเช้าระหว่าง 6.00-7.00 น. หากมีธุระต้องออกเช้า จะถ่ายตอนกลางคืน ระหว่าง 23.00-24.00 น. แล้วแต่กรณี แต่ถ่ายทุกวันๆ ละ 1 ครั้งครับ

ภาพถ่ายข้างล่าง คือ การเช็คพุง ของผม เผื่อว่าเพื่อนๆ จะลองนำเอาไปใช้นะครับ คือ ผมจะลูบพุง ว่าเกินซี่โครงไปเยอะหรือไม่ ถ้าพุ่งป่องมาก ก็จะหาสาเหตุ เช่น มีลมเยอะไปหรือไม่ มีอาหารที่ยังย่อยไม่หมดรึเปล่า ก็อาจจะถึงกับไม่ทานอะไรเลย แต่อาจจะดื่มนมสด เพื่อช่วยเรื่องการขับถ่ายในรอบต่อไปครับ และอยากแนะนำเพื่อนๆ ว่า บางครั้งสำหรับคนพิการรุนแรง ไม่กินข้าวบ้างก็ได้ กินน้ำเต้าหู้แทนก็ได้ครับ กินผลไม้แทนก็ได้ จะได้ไม่มีเนื้อสัตว์ไปหมักหมมในลำไส้ หรือข้าวที่จะทำให้อ้วนได้ครับ




เช็คพุงตอนนอนหงาย


แต่พอนั่งก็จะมีพุงเพ่ิ่มขึ้นมาหน่อยครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป้นประโยชน์บ้างนะครับ ถึงจะเป็นคนพิการก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ เพราะการดูแลตัวเอง เท่ากับเราแคร์คนรอบข้างครับ

พิมพ์เมื่อ 9 มกราคม 2556

MOM vs ยาคูลย์ กับการขับถ่าย

ตอนนี้ผมขอพูดถึง " ระหว่างยาช่วยขับถ่าย MOM-ยาคูลย์ กับการขับถ่าย "

ผมไม่รู้ว่าคุณๆ ผู้อ่าน ขับถ่ายกันวันละกี่ครั้ง หรือบางคนอาจจะกี่วันครั้ง

สำหรับผม ก่อนที่จะมาเป็นผู้ทุพพลภาพ ผมถ่ายวันละ 2 ครั้งครับคือประมาณ 6-7 โมงเช้า และ 4-5 ทุ่มทุกวัน โดยตอนเช้าถ้าผมดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้ หรือผลไม้สักลูก เช่นแอบเปิ้ล ชมพู่ ส้ม ซัก 1 ลูกก็จะยิ่งดีทำให้รู้สึกถ่ายง่าย (ผมมีเจตนาต้องเร่งด้วย เพราะเมื่อถ่ายเสร็จ ก็ต้องรีบอาบน้ำ-แต่งตัว เพื่อไปทำงานอีก) ส่วนตอนกลางคืนพอได้เวลาก็จะปวดเอง ผมถือว่าเป็นระเบียบของการขับถ่าย

สาเหตุสำคัญที่ผมคิดว่า เป็นสาเหตุให้ผมถ่ายวันละ 2 ครั้งเพราะว่า ผมเป็นคนทานอาหาร 4-5 มื้อ คือ

1. ข้าวแกง ทุกวัน เมนูหลักไข่พะโล้+อื่นๆ 1 รายการ เช่น ผัดพริกแกงถั่ว, ยำปลาหมึก, กระเพราต่างๆ กับน้ำเปล่า ตอน 8:30-9:00 น. เพราะว่าผมเป็น Sale Engineer หลังตอกบัตร (จริงๆ ไม่ใช่ตอกบัตร แต่เป็นนำบัตรผ่านเครื่องไม่เกิน 1 ฟุตครับ) ผมก็สามารถออกมาทานข้าวได้ แล้วไปพบลูกค้าเลย

2. เที่ยงถึง บ่ายโมง จะทานอาหารตามสั่ง 2 จาน (อาจเป็นก๋วยเตี๋ยวก็ได้ ก็ต้อง 2 ชาม) กับน้ำอัดลม 1 ขวด และการ์ตูน 1 เล่ม (ความสุขเล็กๆ น้อยๆ) แต่บางครั้งถ้าอยู่สำนักงานแล้วไปทานเป็นหมู่คณะ ก็จะทาน 2-3 จานแล้วแต่ว่ากับข้าวเหลือเท่าไหร่

3. ประมาณ 5 โมงเย็น ถ้าอยู่สำนักงานแล้วไปกินที่ร้านตามสั่ง มักจะเป็น ผัดซีอิ๋ว หรือส้มตำ-ไก่ย่าง แต่ถ้าซื้อมากินกันบนสำนักงาน เพราะต้องเคลียร์งาน ก็จะลงขันกัน ซื้อหมูปิ้ง-ข้าวเหนียว กับน้ำเปล่า

4. ช่วง 1 ทุ่มครึ่ง ถึง 2 ทุ่ม ถือว่าเป็นมื้อหนักอีกมื้อครับ เพราะต้องไปทานข้าวบ้านแฟน ส่วนใหญ่เป็นกับข้าว ผมทาน 2 จาน ตามด้วย ขนมหวาน เช่น ต้มถั่วเขียว, มันต้มน้ำขิง, เต้าฮวย, เผือกเชื่อม เป็นต้น และผลไม้ กับน้ำหวานต่างๆ บางมือ แต่ส่วนใหญ่เป็นน้ำเปล่า

5. และถ้าวันไหนผมนอนดึก เช่นเคลียร์งาน ทำรายงาน เป็นต้น ก็มักจะเป็นมาม่า หรือไม่ก็ขับรถออกไปทานชาย 4 บะหมี่-เกี๊ยว หรือราดหน้า หรือข้าวต้มกุ้ง ที่ตลาดใกล้บ้าน

แต่หลังจากผมได้กลายมาเป็นผู้ทุพพลภาพ ผมเกรงว่าถ้าทานแบบนี้ อาจทำให้อ้วนได้ จึงเปลี่ยนแปลงการทานอาหารเป็นดังนี้

a. มื้อแรกของผมจะทานตอนเที่ยง (คือช่วงเช้าผมจะไม่ทานข้าว อาจดื่มนม 1 กล่องแทนถ้าหิว ปัจจุบันลงตัวไม่ได้ดื่มนม) มักเป็นข้าว กับอะไรก็ได้ แต่ต้องมีข้าว

b. ประมาณ 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม (ขึ้นอยู่กับงานที่ทำอยู่ว่าพัวพันแค่ไหน) จะทานพวกก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็ราดหน้า หรือไม่ก็ส้มตำครับ อาจตามด้วยขนมหวานบางมื้อ

c. ส่วนมื้อดึก ช่วง 5 ทุ่มถึง ตี 1 (ผมนอนดึกทุกคืนครับ) จะเป็นผลไม้ 1 จาน

ปัจจุบันผมขับถ่ายทุกวัน วันละ 1 ครั้ง เวลาดี ระหว่าง 6 โมงเช้า ถึง 7 โมงครึ่งเช้า (ต่อด้วยเช็ดตัว ทำความสะอาด เสร็จประมาณ 8:30-9:00 น.ทุกวัน) ที่ผมอธิบายถึงตรงนี้ เพื่ออธิบายให้ทุกคนเห็นว่า ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการขับถ่ายที่สัมพันธ์กับการดำเนินชีวิต และที่สำคัญ ผมเป็นทุพพลภาพต้องมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายแน่ๆ แต่ผมดูแลให้ถ่ายทุกวัน

ยกเว้นว่า ถ้าผมมีงานเร่งด่วนที่ต้องจัดการ อาจเปลี่ยนโปรแกรมไปถ่ายตอน 5ทุ่มถึงเที่ยงคืนแทน หรือไม่ถ้ามีเหตุจำเป็นจริงๆ เช่น พี่เลี้ยงมีธุระต้องกลับบ้าน ผมอาจจะอดทนถึง 2-3 วัน แต่ผมก็จะลดปริมาณอาหาร หรือเปลี่ยนลักษณะอาหารให้มีของเหลวมากขึ้น คือต้องมีการวางแผน พอพี่เลี้ยงจะกลับ ก่อนแกกลับก็ทานเต็มที่ พอพี่เลี้ยงมาถึงก็ถ่ายตอนเช้าพอดี

เพราะพี่เลี้ยงเป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ นั่งรถไฟมาถึงสถานีบางเขนก็ตี 4-ตี 5 ดังนั้นจึงมาถึงบางบัวทอง ก็ ตี 5-6 โมงเช้า ครับ

ย้อนกลับเข้าสู่หัวข้อกันนะครับ ดังนั้นผู้อ่านทุกท่านจะเห็นว่า ผมจึงมีการวางแผนเรื่องการขับถ่ายพอสมควร หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนครับ

เริ่มจาก รพ.ที่ 2 ผมจำข้อมูลอะไรไม่ได้เลย กินก็น้อย เครียดก็เครียด จึงไม่มีจิตใจไปสังเกตุอะไร ถือว่าคุณภาพชีวิตแย่มาก หลังจากย้ายมาพญาไท 1 ผมก็มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทั้ง 2 แห่งให้ผมทานยาช่วยขับถ่าย ที่เรียก MOM (Milk of Magnesium) ที่เป็นยาน้ำสีขาวขุ่น ต้องดื่ม 1 แก้วเล็กๆ ทุกวัน (น่าจะประมาณ 30 cc. ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ ขวดหนึ่งน่าจะ 25-30 บาท

ในความรู้สึกของผมมันคือยาครับ แรกๆ เมื่อผมทานยานี้ สามารถประมาณการได้เลยว่าอีก 8-12 ชั่วโมง ผมจะต้องถ่ายแน่นอน หมายถึงถ่ายเองเลยนะครับ ไม่ต้องมีลูกสวน ผมอยู่ที่พญาไท 1 ผมมั่นใจว่า ผมถูกใช้ลูกสวนไม่เกิน 5 ครั้ง

ซึ่งมีอยู่ 2 ครั้งแรก ที่ผมถูกสวนด้วยลูกสวนขนาดกลาง (ในความคิดผม มันใหญ่มากๆ) ผมจึงขอให้ทาง รพ. เปลี่ยนเป็นขนาดเล็กสุด ที่ใช้สำหรับเด็กทารก เพราะผมคิดเอาเองว่า ถ้าใช้ลูกสวนลูกใหญ่แล้ว ก็ต้องใช้ใหญ่ตลอดไป หรือต้องใช้ใหญ่ขึ้น หรือใช้หลายลูกมากขึ้น ดังนั้นถ้าเราใช้ลูกเล็กไว้ก่อนย่อมจะดีกว่า แต่สำหรับตอนที่ยังอยู่โรงพยาบาล การจะต้องใช้ลูกสวนเป็นประจำ ผมยังมั่นใจกับร่างกายตัวเองว่า คงจะยังอีกนาน

ขณะอยู่โรงพยาบาล ผมกับน้องๆ ทดลองหลายครั้ง โดยงดดื่มยา MOM แต่ปรากฏว่าไม่ถ่ายจึงต้องให้นางพยาบาลมาสวนด้วยลูกสวนให้ และก็ทดลองว่าถ้าไม่ถ่าย 2 วันเป็นอย่างไร ก็เป็นตามธรรมชาติครับ อุจจาระจะเป็นก้อนเล็กๆ แข็งๆ ผมเรียกเม็ดกระสุน ซึ่งถือว่าไม่ดีเลย คนปกติเรียกว่าเป็นท้องผูก

(โดยปกติแล้ว เมื่อของเสียของมนุษย์เรา มาหยุดรอที่ลำไส้ใหญ่ แล้วเราไม่ถ่าย จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ลำไส้ใหญ่ไม่สนใจครับ มันจะทำหน้าที่ของมันครับ มันจะดูดน้ำออกจากของเสียครับ ทำให้ของเสียหรืออุจจาระค่อยๆ แห้งลงๆ ขนาดเล็กลง ทำให้ฝืดเวลาขับถ่าย)

ต่อมาผมสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการขับถ่าย คือเวลาเริ่มมั่วแล้วครับ กะเกณฑ์เวลาไม่ได้เลย

ใน 1 สัปดาห์จะมีอยู่ 1 วันที่ผมจะทานแต่ผัก และผลไม้ทั้ง 3 มื้อ เพื่อให้เป็นการเคลียร์ลำไส้ใหญ่

และในการทานอาหารแต่ละวันผมจะมี " อาหารที่เป็นตัวชี้วัด " เพื่อให้น้องๆ ได้ช่วยกันสังเกตุว่าอาหารที่ทาน ถูกเคลียร์ทุกวัน เช่น

- ข้าวโพด เนื่องจากกากของมันจะเหนียว ทำให้เราสังเกตุเห็นเปลือกหุ้มเมล็ดข้าวโพดที่ใสๆ ได้
- ลูกแก้วมังกร ภายในผลจะมีเม็ดสีดำ คล้ายงาอยู่ทำให้สังเกตุเห็นได้ง่าย
- ลองกอง จะมีกลิ่นเฉพาะ (ผมคิดว่าเป็นกลิ่นยางของมัน เวลาแกะเปลือกจะมีกลิ่นยางที่มีกลิ่นคล้ายกัน) ทำให้สังเกตุได้
- เฉาก๊วย ที่มีสีดำ จะปะปนมากับอุจจาระ เห็นชัดเจน
- แครอท สีส้มก็เด่นเหมือนกัน สะดุดตาทันที
- ส้มโอ ก็จะมีกากที่ทำให้สังเกตุเห็น แต่ต้องสังเกตุมากหน่อย เป็นต้น

ผมอยากให้คนป่วยลักษณะคล้ายผม นำไปประยุกต์ใช้ และถ้าใครมีเทคนิคดีๆ ก็อย่าลืมแนะนำกันใน comment ด้วยนะครับ หรือจะส่งเป็น email มาก็ได้ จะได้นำมาเพิ่มเติมใน blog นี้

หลังจากออกจากพญาไท 1 มาอยู่ที่บ้าน ผมก็ยังคงดื่ม MOM อยู่ แต่ปัญหาเรื่องเวลาของการถ่าย ที่คาดเดาไม่ได้นั้น สร้างปัญหาเกี่ยวกับการทำงานให้ผมมาก เพราะผมเริ่มรับพนักงานมาทำงาน และใช้บ้านทำเป็น office ซึ่งทำให้พื้นที่เชื่อมถึงกันหมด ดังนั้นเวลาผมทำงานอยู่ช่วงกลางวัน แล้วถ่าย ก็ต้องให้พนักงานออกไปข้างนอก เกรงใจน้องๆ เขาเรื่อง "กลิ่น"

ต่อมาผมเริ่มมีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน คุยกันอยู่ดีๆ ก็ถ่ายครับ กลิ่นเริ่มมา แต่การสนทนายังไม่จบ ผมต้องเอาผ้าขนหนูปิด เพื่อกลบกลิ่นไว้ กว่าจะคุยเสร็จ สายสวนก็ติดเชื้อที่อยู่ในอุจาระเข้าไปแล้ว ทำให้ผมมีความเสี่ยงติดเชื้อในอุจจาระอีก แล้วก็มีเชื้อจริงๆ ครับ เพราะผมจะตรวจเชื้อเป็นระยะๆ เมื่อนางพยาบาลมาเปลี่ยนสายสวนให้ จะเก็บปัสสาวะไปตรวจ

ดังนั้นแล้ว ไม่ต้องคิดมาก สวนเลยครับ ทุกๆ เช้า แต่พอบางวันที่เป็นวันหยุด แล้วไม่สวน คราวนี้ไม่ถ่ายเลยครับ อย่างนี้ก็ " ติดลูกสวน " เรียบร้อยโรงเรียนจีนซะแล้ว

จากนั้นก็ทดลอง สวนอย่างเดียว ไม่ดื่มยา MOM ปรากฏว่า ก็ไม่สามารถถ่ายได้ครับ แย่แล้วซิครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ต้องหาแนวทางแก้ไขแล้วครับ ไม่งั้นนานๆ เข้า แย่แน่ๆ กลายเป็นว่าติดทั้งลูกสวน ทั้งยา MOM

แต่ยังถือว่า การเลือกใช้ลูกสวนขนาดเล็กสุดก่อนเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นดังที่คาดการณ์ไว้ เพราะลำดับขั้นของการพัฒนาการที่แย่ลงๆ เริ่มขึ้นแล้ว จากลูกสวน 1 ลูก เป็น 2 ลูก เป็น 3, 4 และ 5 ในที่สุด ซึ่งส่งผลจนถึงปัจจุบันนี้ ผมต้องใช้ลูกสวนประมาณ 3-5 ลูก ขึ้นอยู่กับเวลาที่ถ่าย ปริมาณน้ำที่ดื่ม และอาหารที่ทานเข้าไป เพราะถือว่าเป็นปัจจัยของ ของเสีย(อุจจาระ)

สำคัญมากๆ เลยครับ หลังจากออกจากโรงพยาบาลพญาไท 1 มาประมาณ 2 ปี ผมก็ตัดสินใจเลิกดื่มยา MOM แล้วหันมาดื่มยาคูลย์แทน โดยทดลองจาก 1 ขวด ผลไม่ถ่ายครับ จนเป็น 2 และ 3 ขวดตามลำดับ ทุกวันนี้ก็ยังคงทาน 3 ขวดเป็นประจำทุกวัน

และในบางช่วง ก็จะใช้นมตราหมี (กระป๋องเหล็ก) เป็นตัวเสริม ถ้าช่วงไหนอุจจาระเริ่มจะแข็ง ก็จะดื่มนมตราหมี 2 แก้วในวันถัดไป อุจจาระจะเหลว ทำให้ถ่ายง่ายขึ้นหลายวัน เพราะฉะนั้นพอจะสรุปความถี่ได้ว่า ต้องดื่มนมตราหมีประมาณสัปดาห์ละ 1 แก้ว (2 กระป๋อง)

ผมเล่ายาวเลยครับตอนนี้ ถ้าผู้ป่วยคนไหน มีเคล็ดลับดีๆ ในเรื่องนี้ ก็ช่วยเขียนแนะนำใน comment ได้นะครับ หรือจะส่งทาง email ก็ได้ ส่วนใครที่มีปัญหา จะลองนำประสบการณ์ของผมไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองบ้างก็ได้ และถ้ามีคำถาม ก็เขียนใน comment เช่นเดียวกันครับ

ตอนหน้าผมขอพูดถึง การทำกายภาพบำบัด อีกครั้งนะครับ


ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 086-314-7866
email : preeda.limnontakul@gmail.com,
update : April 13, 2007
Follow me on Twitter
Visit me on Facebook