สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ผมได้พยายามที่จะกลับมาดำเนินชีวิตให้ใกล้เคียงกับก่อนที่ผมจะรถคว่ำ สมัยตอนที่ผมยังไม่พิการ กับอีกเรื่องง่ายๆ เรื่องหนึ่ง ที่มีเรื่องราวมากมายสำหรับผม คือ การกลับมาใส่นาฬิกาข้อมือ อีกครั้งในหนึ่ง หลังจากที่ผมพิการทุพพลภาพมา 9 ปีกว่า
ไม่ว่าจะคนพิการก็ดี คนไม่พิการก็ดี อาจจะมองว่า การใส่นาฬิกาข้อมมือนั้น มันแสนจะธรรมดา แต่สำหรับผมแล้วไม่ธรรมดาเลย คงต้องเริ่มจากตอนที่ป่วยในโรงพยาบาลใหม่ๆ นั้น ผมแทบขยับตัวไม่ได้ ตลอด 4 เดือนครึ่งที่อยู่โรงพยาบาล สายตาก็มองที่นาฬิกแขวนผนังอย่างเดียว กลับมาบ้าน จึงติดนิสัยดูเวลาจากนาฬิกาแขวนมาตลอด บวกกับผมไม่ได้ไปธุระข้างนอก จนมาถึงปีที่ 5
พอขึ้นปีที่ 6 ผมเริ่มมีอาการแพ้ทางผิวหนัง หรือแพ้สารนิเกิลตกค้าง (สามารถอ่านได้ที่ลิงก์นี้) ซึ่งมีข้อสังเกตว่าใอดีตที่ผมยังไม่พิการนั้น ผมจะใส่สร้อยคอไม่ได้เลย จะมีผดแดงๆ ขึ้น และคันด้วยครับ ทำให้ผมไม่ใส่เลย นาฬิกาข้อมือก็ใส่โลหะไม่ได้ ต้องใส่สายหนังแทน แต่ปัญหาคือ ใส่ทุกวัน จึงทำให้มีอาการแพ้บ้างเล็กน้อย
ดังนั้นตลอดเวลา ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ผมควรต้องใส่นาฬิกาข้อมือ เพราะผมมักต้องดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือแทน ปัญหาคือ เวลาผมจะดูเวลา ผมต้องกดปุ่มใดๆ เพื่อให้มีแสงที่หน้าจอมือถือ ซึ่งส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเสียบุคคลิกภาพพอสมควร และดูไม่ให้เกียรติกับคู่สนทนา หรือเวลาประชุม จะต่างจากนาฬิกาข้อมมือ ที่ผมสามารถที่จะแอบมองดูได้
ตอนนี้อาการของโรคแพ้สารนิกเกิลดีขึ้นมาก เหลือแต่การระมัดระวังเรื่องการทานอาหารที่ใส่ชูรสเท่านั้น กอปรกับในปี 2554 นี้ ผมวางแผนที่จะออกนอกบ้านไปพบกับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งก็ต้องไปพบกับระดับบริหารพอสมควร เนื่องจากงานโครงการนั้นที่เสนอมีราคาค่อนข้างสูง ผมจึงบอกทางบ้านว่า ผมอยากใส่นาฬิกาข้อมือ แบบสายหนัง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว น้องสาวกับคุณแม่จึงซื้อมาให้ ก็ถูกใจมากนะครับ เรือนนาฬิกามีขนาดเท่าเดิมที่ผมเคยใช้ คือไม่ใหญ่มาก เพราะว่าข้อมมือผมเล็กมาก เดิมก่อนพิการก็เล็กอยู่แล้ว พอมาพิการยิ่งเล็กลงไปอีก

วันนี้ 12 มกราคม 2554 จึงเป็นวันแรกที่ผมได้ใส่นาฬิกาข้อมือ ตามภาพข้างบนละครับ จึงดีใจเล็กๆ ดูแล้วทำให้รู้สึกขึ้นมานิดหน่อยว่า อย่างน้อยก็มีอีกเรื่องที่ผมได้ปฏิบัติ เหมือนกับตอนที่ทำงานก่อนพิการ และเป็นการแก้ปัญหาด้านบุคคลิกภาพไปด้วยในตัว